การเชื่อมต่อมือถือกับเครื่องเสียงใน Jazz
ก่อนอื่นต้องขอออกตัว(อีกแล้ว)ไว้ก่อนเลยว่าบทความนี้อาจจะออกแนวแห้งๆหน่อยเพราะเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของทฤษฏีที่ผมพยายาม
ศึกษาจากหลายๆแหล่งแล้วมาเขียนสรุป ไม่ได้ผ่านการทดสอบด้วยตัวเอง เนื่องจากผมเองใช้โทรศัพท์Lenovo S820 ซึ่งเป็น Android แถมไม่รองรับการต่อ
ออกพอร์ต HDMI(ไม่มีพอร์ต MHL) ครับ ดังนั้นบทความนี้ถือว่าใช้จินตนาการที่อ้างอิงทฤษฎีล้วนๆเลย ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยและแย้งมาได้เลยครับ
อีกอย่างคือผมจะไม่ลงในรายละเอียดของศัพท์เทคนิคบางคำเนื่องจากจะทำให้บทความยาวจนไม่น่าอ่าน แต่จะทำเป็นลิงค์อ้างอิงไปยังเว็บอื่นๆเพื่อให้สามารถ
ศึกษาเพิ่มเติมกันได้นะครับ
1. การเชื่อมต่อแบบไร้สาย
-การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth
อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนะครับทุกคนคงเคยใช้และรู้จักกันดีแล้ว อย่างน้อยๆก็ใช้โทรออกตามที่ผมเคยแนะนำไว้ในบทความเก่า
เรื่องการโทรออกด้วยเสียง ข้อดีของมันที่เห็นชัดๆก็คือไม่จำเป็นต้องใช้สายให้เกะกะระโยงระยาง แต่ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ มันไม่สามารถ
ส่งสัญญาณภาพพร้อมเสียง(เช่นดูหนังจากมือถือ)ได้เนื่องด้วยข้อจำกัดของอัตราการส่งข้อมูลที่มีไม่สูงมากนัก(ถึงแม้ว่าในมาตรฐาน Ver. ใหม่ของตัว
Bluetooth จะสามารถทำความเร็วได้เพียงพอที่จะดูหนังความละเอียดไม่สูงมากได้แล้วถ้าเทียบกับ Ver. เก่าๆ แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของรูปแบบ
การเชื่อมต่ออื่นๆซึ่งจะพูดในหัวข้อหลังๆก็ถือว่ายังต่ำเกินไป โดยเฉพาะการดูหนังที่มีความละเอียดสูง ซึ่งเรียกได้ว่ากลายเป็นมาตรฐานของหนังใน
ปัจจุบันไปแล้ว)
ดังนั้นถ้าเราใช้วิธีการเชื่อมต่อแบบนี้จึงทำได้แค่ส่งข้อมูลเสียงเพียงอย่างเดียว(ใช้โทรเข้า/ออก หรือฟังเพลงจากโทรศัพท์)แต่จริงๆแล้วมันยังมี
การเชื่อมต่อไร้สายอีกแบบที่สามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงไปพร้อมๆกันได้ แต่ตอนนี้(อนาคตไม่แน่)มันยังไม่สามารถใช้กับเครื่องเสียงน้องแจ๊สเราได้
ดังนั้นผมขอรวบไปพูดตอนท้ายๆทีเดียวเลยแล้วกันครับ
2.การเชื่อมต่อแบบใช้สาย
-การเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI(High-Definition Multimedia Interface) ของเครื่องเสียง
-การเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI(High-Definition Multimedia Interface) ของเครื่องเสียง
ถ้าดูภาพที่ผมทำแล้วไม่เข้าใจ(พยายามที่สุดแล้วได้แค่นี้จริงๆ) ก็ลองดูตัวอย่างจากของ City แทนนะครับน่าจะเข้าใจง่ายกว่า เพราะเครื่องเสียงตัวเดียวกัน ขออนุญาตเจ้าของคลิปไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เล่นวิดีโอจากสมาร์ทโฟนผ่านสาย HDMI ไปออกที่เครื่องเล่น 7นิ้ว City 2014
รีวิว วิธีการใช้สาย HDMI ต่อเข้าสมาทโฟนไปออกที่เครื่องเล่น 7นิ้ว
วิธีการต่อสาย HDMI ของมือถือ Android
วิธีการต่อสาย HDMI ของ Iphone/Ipad
ข้อดีของรูปแบบนี้คือสามารถส่งทั้งภาพและเสียงไปแสดงได้พร้อมๆกันเนื่องจากความเร็วในการส่งข้อมูลสูงกว่าทุกๆวิธีในปัจจุบัน สังเกตจากชื่อมันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ(ส่งข้อมูลภาพและเสียงความละเอียดสูง) ดังนั้นการเชื่อมต่อด้วยวิธีนี้ถือว่าดีที่สุด(ในปัจจุบัน)ครับ ส่วนข้อเสียก็อย่างที่เห็นล่ะครับว่าต้องต่อสายกันระโยงระยางทีเดียว ถึงจะแค่ 2 เส้นก็เถอะแต่พอมันไปกองๆรวมกันแถวๆข้างๆเกียร์(ในความรู้สึกส่วนตัว)ผมว่ามันค่อนข้างเกะกะ นี่ยังไม่รวมถึงกรณีมีการต่อกล้องติดรถยนต์ซึ่งต้องเดินสายมาเสียบกับที่จุดบุหรี่อีกยิ่งรกกันไปใหญ่ (จะบ่นไปทำไมหว่า เราไม่ได้ใช้อะไรสักอย่าง 55) แต่ทำไงได้ในเมื่อมันเป็นทางเลือกเดียวที่ทำได้ในปัจจุบันนี่นา
อ้อข้อเสียอีกอย่างคือเจ้ามือถือของเรามันไม่เป็นอิสระเพราะต้องเสียบอยู่กับสาย ไอ้ครั้นจะหยิบมาเล่นโน่นเล่นนี่เผื่อได้เป็นนายแบบจำเป็นให้จ่าถ่ายรูปข้อหาใช้มือถือขณะขับรถก็คงลำบากถ้าสายมันสั้นไป แต่ถ้าสายยาวก็เกะกะอีก(จินตนาการสูงจริงๆเรา เขียนยังกะเจอปัญหาเองทั้งๆที่ไม่เคยใช้) เดี๋ยวไปดูวิธีแก้ปัญหานี้ในข้อต่อไปครับ
3.การเชื่อมต่อแบบลูกครึ่ง การเชื่อมต่อแบบนี้ก็ตามชื่อที่ผมเรียกล่ะครับ คือมันใช้สายครึ่งนึงไม่ใช้อีกครึ่งนึง ลองดูตามภาพประกอบนะครับ
นั่นคือระหว่างมือถือกับเครื่องเสียงของเราจะมีตัวกลางเข้ามาคั่น ซึ่งเจ้าตัวที่เข้ามาคั่นนั้นเค้าเรียกกันว่า Dongle ซึ่งหน้าที่ของเจ้าตัวกลางนี้คือทำการรับข้อมูล(ภาพและเสียง)จากมือถือของเราแล้วส่งไปยังจอแสดงผล(ในที่นี้คือจอเครื่องเสียง) ผ่าน Port HDMI เหมือนวิธีการที่แล้ว เพียงแต่ความแตกต่างคือมือถือของเราไม่จำเป็นต้องต่อด้วยสายเหมือนวิธีที่แล้ว เพราะการส่งข้อมูลระหว่างมือถือกับ Dongle นั้นจะใช้ผ่านช่องทาง WiFi แทนการใช้สาย ทำให้มือถือของเราเป็นอิสระมากขึ้น(หยิบมาเล่นให้โดนจ่าถ่ายรูปได้ละ) และยังถือว่าเป็นการลดสายไปได้เส้นนึงเพราะเจ้า Dongle นั้นเสียบเข้ากับ Port HDMI ได้ตรงๆ(เหมือนเสียบแฟลชไดรฟ์ในช่อง USB)เลย
เพื่อความเข้าใจมากขึ้นลองชมคลิปด้านล่างนี้ โดยให้ถือว่าจอเครื่องเสียงของเราก็คือจอ TV ในคลิปนั่นล่ะครับ ใครฟังรู้เรื่องก็ฟังดูนะครับ ผมฟังไม่ออกก็อาศัยดูภาพเอา แต่ที่ตัดสินใจเอาคลิปนี้มาเพราะมันจะมีการเปรียบเทียบ 2 รูปแบบ(ใช้สายกับแบบลูกครึ่งตามที่ผมกำลังอธิบายพอดีเลย)
ด้วยวิธีการต่อแบบลูกครึ่งนั้น ถึงแม้ว่าเราจะได้อิสระมาครึ่งนึงแล้ว(มือถือไม่ต้องมีสายพันธนาการละ) แต่ก็จะเห็นในคลิปว่า Dongle บางรุ่นยังคงต้องใช้สาย HDMI คู่กับสาย USB นะครับ เพราะการออกแบบมาอาจจะไม่ได้หน้าตาแบบแฟลชไดรฟ์ ทำให้เสียบตรงๆลำบาก ซึ่งย่อมหมายถึงว่ามันไม่ได้ตอบคำถามในการแก้ปัญหาสายระเกะระกะเหมือนเดิม แต่ก็พอมีวิธีการแก้ปัญหาแบบศรีธนญชัยอยู่ครับ ในเมื่อสายอยู่ข้างหน้ามันเกะกะเราก็เอามันไปยัดไว้ด้านหลัง(ในแผงคอนโซล)ซะเลยสิจะได้ไม่เกะกะรกหูรกตา สำหรับวิธีแบบศรีธนญชัยนั้นจำเป็นจะต้องสั่งจากเมืองนอก(มาเลเซีย)นะครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลดูในเมืองไทยยังไม่พบว่ามีขาย(หรือมีแต่ผมหาไม่เจอ) ราคาเท่าที่สอบถามก็ประมาณ 5800 บาทครับ ไม่ได้มาโฆษณาขายนะครับใครสนใจก็ติดต่อกันเอาเอง ผมถามราคาเพื่อมาใส่ในบทความเท่านั้นเอง
ลองดูอุปกรณ์ในชุดติดตั้งและคลิปการทำงานของมันนะครับ
จะเห็นได้ว่าการทำงานของมันก็ไม่ต่างกับแบบลูกครึ่งที่เราได้เห็นกันไปแล้ว นั่นคือรับสัญญาณภาพและเสียงจากมือถือผ่าน WI-FI แล้วส่งต่อออกหน้าจอเครื่องเสียงผ่าน HDMI เหมือนเดิมเพียงแต่ทุกอย่างมันเสียบไว้ข้างหลัง(ในคอนโซล) ทำให้ดูแล้วไม่รกรุงรัง และข้อดีของมันคือมีหัวต่อที่เป็น OEM Socket ทำให้ไม่ต้องตัดต่อสายไฟให้วุ่นวายสามารถเสียบแทนของเดิมได้เลย ส่วนประกันจะขาดรึปล่าวอันนี้ผมไม่รับรองนะครับ
ส่วนจุดขายอีกอันที่น่าสนใจคือเราจะเห็นว่ามีตัวที่เขียนว่า TV Free/Video In Motion ซึ่งก็คือทำให้สามารถดูภาพหน้าจอขณะรถเคลื่อนที่ได้ ตามที่มีหลายคนโพสวิธีการตัดสายสัญญาณของเบรคมือมาลงกราวน์เพื่อปลดล็อคนั่นล่ะครับ แต่อันนี้เค้าทำเป็น Socket สำเร็จรูปมาเลย อ้อมี Port USB พิเศษแยกจากตัวเครื่องเสียงรถมาอีกตัวซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเสียบตรงนี้จะสามารถดูหนังนามสกุล .RMVB ได้ด้วย เพราะตัวเครื่องเสียงเองนั้นเข้าใจว่ารับเฉพาะไฟล์ .MP4 ครับ รายละเอียดอื่นๆก็ลองหาอ่านกันดูครับเดี๋ยวกลายเป็นว่าผมมาโฆษณาขายให้เค้าซะ 555
เบื้องหลังการทำงานแบบลูกครึ่ง
ในหัวข้อนี้เราจะมาดูเบื้องหลังการทำงานแบบลูกครึ่งกันนะครับ เพื่อเป็นการปูทางก่อนเข้าสู่วิธีการเชื่อมต่อรุปแบบสุดท้าย ลองดูคลิปนี้กันก่อนนะครับจะได้เห็นภาพชัดขึ้น(ฟังเข้าใจด้วยดีกว่าคลิปที่แล้วโน่น) เหมือนเดิมครับให้จินตนาการเอาว่า TV ก็คือเจ้าเครื่องเสียงของเรา
จะเห็นว่าโดยหลักการคือมือถือของเราติดต่อกับเจ้า Dongle ผ่านช่องทาง WI-FI ซึ่งเรียกหลักการนี้ว่า Wi-Fi-Direct(กดที่นี่เพื่อดูรายละเอียด) ซึ่งก็ตามชื่อล่ะครับมันคือ Wi-Fi ที่มีการเชื่อมต่อกันโดยตรง หมายถึงว่าไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่าง Router หรืออื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนการนำหน้าจอมือถือไปแสดงยังจอภาพภายนอก(ทีวีหรืออื่นๆ) จะเรียกกันว่า Miracast ครับ
ส่วนคนที่ใช้ไอโฟน/ไอแพด คงเคยได้ยินคำว่า AirPlay กันมาแล้ว ซึ่งเจ้า AirPlay ที่ว่านี้จะต่างกับเจ้า Wi-Fi-Direct ตรงที่ว่าอุปกรณ์ 2 ตัวที่จะเชื่อมต่อกันนั้นจะต้องอยู่ภายในวง Network เดียวกัน(ตามลิงค์ตรงคำว่า AirPlay นั่นล่ะครับ) ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องมี Router หรืออื่นๆเป็นตัวกลางเพื่อให้เจ้าอุปกรณ์ 2 ตัวอยู่ในวงเดียวกันมันถึงจะหากันเจอและติดต่อกันได้
จริงๆแล้วทาง Apple บอกไว้ว่าจะต้องเป็นอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้นจึงจะสามารถใช้วิธีการนี้ได้ แต่จริงๆแล้วแอนดรอยด์อย่างเราๆก็สามารถนำไปแสดงผลบนอุปกรณ์ Apple ได้เหมือนกัน ใครสนใจก็ลองค้นหากันดูนะครับขอไม่อธิบายเดี๋ยวจะยืดยาวไป
เรามาดูคลิปการทำงานของอุปกรณ์(ทีวี)รุ่นใหม่ๆที่รองรับเจ้า Wi-Fi-Direct กันครับว่ามันทำงานยังไง
จะเห็นว่าความต่างของเจ้า Wi-Fi-Direct กับ Airplay คือเราไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับการกำนหนด IP ให้อยู่ในวงเดียวกันมันก็หากันเจอเองเลย (แว่วๆมาว่าทาง Apple จะใส่การทำงานแบบ Wi-Fi-Direct เข้ามาใน IOS 8 ที่กำลังจะออกเร็วๆนี้ http://www.cultofmac.com/282209/airplay-longer-requires-wi-fi-network-ios-8/ ) ซึ่งจะว่าไปแล้วเจ้าทีวีรุ่นใหม่ๆนี้ก็เปรียบเสมือนจับเจ้า Dongle ยุบรวมเข้ามาในตัวเลยนั่นเอง ทำให้เมื่อแสดงผลก็แสดงตรงได้เลยไม่จำเป็นต้องผ่าน HDMI อีกเพราะมันมีจอของตัวเองอยู่แล้วนั่นเอง ไม่งงนะครับ(เหมือนอธิบายวกวนยังไงไม่รู้ 555)
4.การเชื่อมต่อแบบที่คาด(หวัง)ว่าจะมี
ตามภาพเลยครับ สิ่งที่คาด(หวัง)ว่าเจ้าเครื่องเสียงในน้องแจ๊สของเราจะทำได้ เนื่องจากถ้าเราลองกดๆเครื่องเสียงดูจะพบว่ามันมีเมนูในการเปิดปิด Wi-Fi อยู่ด้วย ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้มือถือคู่ชีพ(ซึ่งทำอะไรแทบไม่ค่อยได้) ตั้งตัวเองเป็น Hotspot ดูก็พบว่าเจ้าเครื่องเสียงมันสามารถที่จะมาเกาะกับเจ้ามือถือของผม(ได้รับ IP) ภาพอาจจะมืดๆหน่อยนะครับเพิ่งถ่ายสดๆเมื่อสักครู่นี่เอง
นั่นหมายถึงว่าถ้าตามหลักการแล้วอย่างน้อยๆมันควรจะรองรับการทำงานแบบ Airplay(ก็มันของ Apple นี่นา) แต่เท่าที่เคยลองโดยการใช้มือถืออีกเครื่องตั้งเป็น Hotspot แล้วใช้เจ้า Lenovo + เครื่องเสียงน้องแจ๊สเข้าไปเกาะมือถือเครื่องแรก(เพื่อให้อยู่ในวง Wi-Fi เดียวกัน) แล้วเปิดโปรแกรม(ของ Android)ซึ่งเค้าบอกว่ามันสามารถเชื่อมต่อแบบ Airplay ได้(แต่ยังไม่เคยลองกับของ Apple จริงๆนะครับเพราะไม่มี เคยแต่ลองเชื่อมกับเจ้ากล่อง Android-TV ที่มีอยู่มันสามารถเปิดหนัง+ภาพขึ้นไปแสดงบนจอทีวีได้)
ผลปรากฏว่าโปรแกรมมันหาจอน้องแจ๊สเราไม่เจอครับ ดังนั้นใครที่ใช้ไอโฟนอาจจะใช้วิธีการทดสอบแบบผมดูว่าถ้าเป็นมือถือไอโฟนเองมันจะสามารถหาเจอหรือไม่ ส่วนเรื่องของ Miracast บน Wi-Fi-Direct นี่แทบไม่ต้องทดลองกันเลย เพราะอย่างที่บอกว่าทาง Apple จะรองรับการทำงานใน IOS 8 ที่ยังไม่ออก ดังนั้นเครื่องเสียงน้องแจ๊สเราคงไม่ล้ำหน้ารุ่นใหญ่(ไอโฟน/ไอแพด)อย่างแน่นอนครับ
อีกความคาดหวังนอกจากเรื่องของการเอาภาพมือถือขึ้นหน้าจอก็คือ ในเมื่อน้องแจ๊สสามารถที่จะรับ IP ได้ นั่นย่อมหมายถึงว่าสามารถออกไปท่องโลกอินเตอร์เน็ตโดยผ่านหน้าจอเครื่องเสียงเราได้เลย แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงติดปัญหาเดียวคือตัว Firmware คงยังไม่ได้เปิดให้เราใช้ประโยชน์อะไรจากเจ้า Wi-Fi ที่ติดตั้งมา นอกจากรับ IP ไว้ดูเล่นเท่านั้นเอง ความคาดหวังของผมนี่ไม่ได้เพ้อเจ้อนะครับ เพื่อไม่ให้เสียชื่อจ้าวแห่งคู่มือ ขออนุญาตอ้างอิงจากคู่มือหน้าที่ 209 ลองดูตรงที่ผมทำกรอบไว้นะครับ
จะเห็นว่ามีการระบุชัดเจนว่าให้เลือกแอปพลิเคชั่นที่ต้องการ นั่นย่อมหมายถึงว่าในที่สุดแล้วมันจะต้องมีแอปพลิเคชั่นให้เราเลือกใช้(อย่างน้อยๆก็ Browser เพื่อใช้ท่องโลกอินเตอร์เน็ตล่ะ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะรับ IP มาทำอะไร ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือรอๆๆฟังข่าวเผื่อว่าเค้าจะมีการอัพเฟิร์มแวร์ของเครื่องเสียงเราให้หลังจาก IOS 8 ออกมาแล้วครับ ยิ่งเขียนยิ่งงงดังนั้นขออนุญาตจบบทความแบบห้วนๆตรงนี้เลย ขอบคุณที่ทนอ่านกันมาจนจบนะครับ