Saturday, August 30, 2014

HDD External ไว้ฟังเพลงใน JAZZ 2014

                สืบเนื่องมาจากได้อ่านคำถามของเพื่อนๆเรื่องเอา HDD External ไปเสียบเพื่อจะฟังเพลงใน Jazz แล้วมองไม่เห็น HDD ด้วยความที่เป็นคน IT เลยคันไม้คันมืออยากจะเขียนบทความสักบทเพื่อแนะนำวิธีการ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายๆคน
                  
               ก่อนอื่นเรามาดูปัญหาที่น้อง Jazz ไม่พบ HDD ของเรากันก่อน สำหรับสาเหตุนั้นข้อแรกผมคาดว่า(เพราะขณะเขียนบทความนี้ รถไม่ได้อยู่กับตัวเลยยังไม่ได้ทดลอง) อาจจะเกิดจากปัญหาไฟที่จ่ายผ่าน USB ไม่เพียงพอ เพราะ HDD นั้นจะกินไฟมากกว่าพวก Flash Drive อยู่พอสมควรเนื่องจากต้องใช้มอเตอร์ในการหมุนจานข้อมูล ดังนั้นถ้าติดปัญหานี้ก็คงจะต้องใช้สาย USB ที่มี 2 หัวหรือที่เรียกกันว่าสาย Y นั่นล่ะครับ หาซื้อได้ตามร้านค้า IT ทั่วๆ เวลาใช้ก็เสียบเข้ากับ USB ในรถ 2 สายไปเลยจะได้ตัดปัญหาไฟไม่พอ


           สาเหตุที่ 2 ก็คือปัญหาของรูปแบบ Partition ครับ ถ้าใครเจอปัญหาแนะนำว่าให้ลองแก้ด้วยวิธีนี้ก่อน ถ้าไม่หายก็อาจจะเป็นไฟไม่พอ ต้องเสียเงินซื้อสาย Y ละครับ

            เนื่องจากว่าเจ้าเครื่องเสียงของ Jazz  นั้นไม่รองรับ Partition ที่เป็นแบบ NTFS  ดังนั้นดิสก์ที่นำมาใช้กับมันนั้นจะต้องเป็นรูปแบบ FAT32 เท่านั้น ซึ่งในกรณีของแฟลชไดรฟ์นั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเรามักจะ Format เป็นแบบ FAT32 กันอยู่แล้ว

            แต่สำหรับเจ้า External HDD ในปัจจุบันนั้นมันมีขนาดใหญ่(เกิน 32 GB) ที่ FAT32 อนุญาต ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการ Format เป็นแบบ NTFS กัน(เพราะ Format เป็น FAT32 ไม่ได้ตามข้อจำกัดข้างต้น) วิธีการแก้ปัญหานี้คือเราจะต้องแบ่ง HDD External ของเราออกมาเป็นไดรฟ์เล็กๆ(ไม่เกิน 32 GB)ในรูปแบบ FAT32 เพื่อให้น้อง Jazz มองเห็นครับ สำหรับคนที่มีข้อมูลอื่นๆเก็บอยู่ใน External HDD ก็ไม่ต้องกังวลใจไปครับ รับรองว่าข้อมูลเก่าที่มีอยู่ไม่หายแน่นอนครับ ลองมาดูขั้นตอนกันเลย

1.            โหลดโปรแกรมจาก http://www.easeus.com/download/epmf-download.html (เป็นของฟรีครับ)แล้วติดตั้งให้เรียบร้อย



มีเทคนิคในการติดตั้งเพื่อเลี่ยงโฆษณาและของแถม(ไม่มีอันตราย)นิดหน่อยครับ ก็ของฟรีนี่นา ผมไม่อธิบายนะครับให้ตั้งค่าตามภาพเอาเลย


เอาเครื่องหมายถูกออกแล้ว Next

กด Next ไปเลยครับไม่ต้องกรอกข้อมูลใดๆ

2.            เสียบเจ้า External HDD ของเราเข้าเครื่องแล้วเปิดโปรแกรม => เลือกตามภาพ


3.             ตามตัวอย่างผมใช้ HDD ที่มีขนาด 80 GB ที่ Format ไว้เป็น NTFS(เพราะตามที่บอกว่ามันเกิน 32 GB จะไม่สามารถ Format เป็น FAT32 ได้) ให้คลิกขวาที่ External HDD ของเรา แล้วเลือก Resize/Move partition 




4.               เลื่อนไปตรงปุ่มกลมๆ(ในวงกลมสีแดง) กดปุ่มซ้ายของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนไปทางซ้ายตามขนาดที่ต้องการ หรือจะใส่ตัวเลขในช่องข้างล่างเอาก็ตามสะดวก แต่ห้ามให้ส่วนของ Unallocated นั้นเกิน 32 GB นะครับไม่งั้นมันจะ Format เป็น FAT32 ไม่ได้ ตามตัวอย่างผมแบ่งแบบเอาชัวร์ๆไว้ที่ 30.67 GB แล้วกด OK ครับ


5.            จะเห็นว่าตอนนี้ HDD ของเราแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามที่ต้องการแล้ว


6.            คลิกขวาตรงส่วนของ Unallocated แล้วเลือก Create partition ครับ


7.               ทำการตั้งชื่อไดรฟ์ใหม่ในส่วนของ Partition Label ตามใจชอบเลยครับ จุดที่สำคัญคือในส่วนของ File System นั้นให้เลือกเป็น FAT32 นะครับ เรียบร้อยแล้วกด OK เลยครับ


8.           จะกลับมาที่หน้าจอหลัก ให้กด Apply เพื่อยืนยันและให้โปรแกรมทำการสร้าง Partition ตามที่เรากำหนดไว้เลยครับ


    9.            จะมีการถามย้ำอีกครั้ง ให้กด Yes 


10.             รอโปรแกรมดำเนินการจนเสร็จสิ้น เพียงเท่านี้เราก็จะได้ไดรฟ์ใหม่ที่เป็น FAT32 ไว้ใช้ฟังเพลงในน้อง Jazz กันแล้ว ให้ก็อปปี้เพลงหรือหนังที่ต้องการใส่ไว้ในไดรฟ์ดังกล่าวเพื่อใช้กับน้อง Jazz ได้เลย เวลาเราเอา External HDD ไปเสียบกับ Jazz มันจะมองเห็นแค่ไดรฟ์นี้ไดรฟ์เดียว ส่วนข้อมูลเดิมที่มีก็ยังอยู่ครบนะครับไม่ต้องกังวลเพียงแต่อีกไดรฟ์ที่เป็น NTFS มันจะมองไม่เห็นเท่านั้นเองครับ มีข้อสงสัยประการใด สอบถามได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ

  ปล.ในความเป็นจริงแล้วแนะนำให้ใช้แฟลชไดรฟ์ในการเก็บเพลงเพื่อฟังในรถมากกว่าการใช้ External HDD นะครับ  เนื่องจากว่าเมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบกระทบกระเทือน(กรณีทางไม่เรียบ)มากๆ อาจจะส่งผลเสียต่อหัวอ่าน/เขียนของ HDD ได้ แต่ถ้าใครยังยืนยันมั่นใจที่จะใช้ก็ไม่ขัดศรัทธากันครับ เพราะโดยหลักการแล้วปัจจุบันบริษัทที่ผลิต HDD มักมีการโฆษณาว่ามันสามารถรับแรงสะเทือนได้พอสมควรเหมือนกัน ยังไงใครอยากรู้ก็ต้องลองพิสูจน์กันดูว่าจริงสมดังคำโฆษณาหรือไม่ครับ





โทรออกด้วยเสียงจากโทรศัพท์ระบบ Android บน Jazz 2014

โทรออกด้วยเสียงจากโทรศัพท์ระบบ Android บน Jazz 2014

                 เนื่องจากต้นฉบับที่เป็นไฟล์ Word หายไป(จะแปลงกลับก็ลำบาก) เลยขออนุญาตโพสเป็น PDF แทนนะครับ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกครับ


โทรออกด้วยเสียง Android.pdf

Friday, August 29, 2014

กล้องมองหลัง Jazz 2014 เห็นป้ายทะเบียน?

กล้องมองหลัง Jazz 2014 เห็นป้ายทะเบียน?
                   หลังจากพยายามไล่ตอบปัญหาเรื่องของกล้องมองหลังของน้องแจ๊สว่าตกลงมันจะต้องมองเห็นป้ายทะเบียนหรือไม่เห็นกันแน่ แต่สุดท้ายพอจบไปกระทู้นึงก็จะมีคนมาถามกันเหมือนเดิม(อีกละ)เพราะกระทู้เดิมมันตกไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้  ไอ้ครั้นจะไปก็อบข้อความเดิมที่เคยตอบมาตอบซ้ำก็หาไม่เจอซะอีกเพราะกระทู้มันร่วงลงไปเกือบสุดขอบเขตประเทศสยามแล้ว เลยเกิดความคิดว่าน่าจะทำเป็นบทความสั้นๆไว้สักบทความเพื่อสะดวกในการอ้างอิงเวลาตอบไม่ต้องมาไล่ก็อบปี้คำตอบเก่าๆให้วุ่นวาย



         สำหรับคำถามว่าจริงๆแล้วมันควรจะมองเห็นป้ายทะเบียนหรือไม่นั้น ผมขออนุญาตอ้างอิงจากคู่มือผู้ใช้รถ(หน้าที่ 276) นะครับ ตามภาพจะเห็นว่ามีการระบุขอบของกันชนไว้อย่างชัดเจน และในส่วนของสีเหลืองๆตามภาพนั้นเป็นตำแหน่งโดยประมาณที่ผมคิดว่ามันควรจะต้องเห็นขอบป้ายทะเบียน(ก็ป้ายมันติดอยู่ตรงนั้นนี่นา ไม่เห็นก็แปลกละ) ดังนั้นขอสรุปแบบฟันธงตรงนี้เลยว่าถ้าอ้างอิงตามคู่มือซึ่งระบุ(ด้วยภาพ)ว่าจะต้องเห็นขอบกันชน ดังนั้นการเห็นป้ายทะเบียนถือเป็นเรื่องปกติ มิใช่ความผิดพลาดในการปิดฝากระโปรงหลังแรงจนกล้องเคลื่อนแต่อย่างใดครับ


          แต่ถ้าใครยังไม่สบายใจหรือคำพูดผมยังไม่น่าเชื่อถือล่ะก็ ขออนุญาตอ้างอิงแบบอินเตอร์เนชั่นแนลหน่อยแล้วกัน ลองดูตามคลิปด้านล่างซึ่งเป็นคลิปรีวิวน้องแจ๊ส(ของเมืองนอกเค้าจะเรียกว่า FIT 2015) นะครับ ในนาทีที่ 3.29 จะได้ยินคำว่า "My Bumper" ชัดเจน ครับ



         นั่นก็คงเป็นการยืนยันได้แล้วว่าโดยเจตนาในการออกแบบนั้นเค้าทำมาให้มันมองเห็นกันชนครับ เพราะถ้าเกิดจากความผิดพลาดเค้าคงไม่เอามารีวิวให้ดูหรอกครับ
        ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้าวันนึงเรามีความจำเป็นที่จะต้องถอยหลังเพื่อชิดผนังมากๆแล้วกล้องมองไม่เห็นกันชนมันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งของกล้องนั้นมันอยู่ในลึกเข้ามาจากแนวของกันชน ดังนั้นถ้าเราดูแค่เส้นแสดงระยะโดยประมาณจากกล้อง กว่าที่มันจะมาถึงตำแหน่งของกล้องนั้น เจ้ากันชนเราสัมผัสกับฝาผนังไปก่อนแล้วครับ เค้าถึงได้ออกแบบมาเพื่อให้เห็นว่ากันชนของเรามันใกล้จะจ๊ะเอ๋กับฝาผนังหรือยัง แนะนำว่าควรใช้มุมมองจากบนลงล่างจะเห็นได้ชัดและชัวร์สุด 



        ดังนั้นเมื่อเห็นกันชนก็ย่อมเป็นปกติที่จะต้องเห็นขอบป้ายทะเบียนด้วย ยกเว้นว่าเราเอาป้ายทะเบียนไปติดไว้ตรงตำแหน่งอื่นเท่านั้นเองครับฟันธง

ปล.ขออนุญาตเจ้าของภาพที่นำมาประกอบบทความทุกๆท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ******* เพิ่มเติม 31/8/57  ********

          พอดีเพิ่งได้เห็นประโยคนึงในคู่มือซึ่งน่าสนใจดีเลยขอนำมาใส่ไว้ในนี้ด้วยตามประสาจ้าวแห่งคู่มือครับ


          อ่านจากคู่มือ(ในภาพ)ก็คงพอจะเข้าใจแล้วว่าถ้ามันไม่ติดข้อจำกัดของมุมกล้อง จริงๆแล้วทางผู้ผลิตต้องการที่จะให้สามารถมองเห็นมุมขอบของกันชนทั้ง 2 ด้าน รวมถึงใต้กันชนซะด้วยซ้ำไป เพราะตามที่ผมได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ในกรณีที่จำเป็นต้องถอยชิดผนังหรือวัตถุอื่นใดมากๆนั่นเองครับ




Thursday, August 28, 2014

การเชื่อมต่อมือถือกับเครื่องเสียงใน Jazz

การเชื่อมต่อมือถือกับเครื่องเสียงใน Jazz

                      ก่อนอื่นต้องขอออกตัว(อีกแล้ว)ไว้ก่อนเลยว่าบทความนี้อาจจะออกแนวแห้งๆหน่อยเพราะเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของทฤษฏีที่ผมพยายาม
ศึกษาจากหลายๆแหล่งแล้วมาเขียนสรุป ไม่ได้ผ่านการทดสอบด้วยตัวเอง เนื่องจากผมเองใช้โทรศัพท์Lenovo S820 ซึ่งเป็น Android แถมไม่รองรับการต่อ
ออกพอร์ต HDMI(ไม่มีพอร์ต MHL) ครับ ดังนั้นบทความนี้ถือว่าใช้จินตนาการที่อ้างอิงทฤษฎีล้วนๆเลย ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยและแย้งมาได้เลยครับ 
อีกอย่างคือผมจะไม่ลงในรายละเอียดของศัพท์เทคนิคบางคำเนื่องจากจะทำให้บทความยาวจนไม่น่าอ่าน แต่จะทำเป็นลิงค์อ้างอิงไปยังเว็บอื่นๆเพื่อให้สามารถ
ศึกษาเพิ่มเติมกันได้นะครับ
1. การเชื่อมต่อแบบไร้สาย
-การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth

          อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนะครับทุกคนคงเคยใช้และรู้จักกันดีแล้ว อย่างน้อยๆก็ใช้โทรออกตามที่ผมเคยแนะนำไว้ในบทความเก่า
เรื่องการโทรออกด้วยเสียง ข้อดีของมันที่เห็นชัดๆก็คือไม่จำเป็นต้องใช้สายให้เกะกะระโยงระยาง แต่ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ มันไม่สามารถ
ส่งสัญญาณภาพพร้อมเสียง(เช่นดูหนังจากมือถือ)ได้เนื่องด้วยข้อจำกัดของอัตราการส่งข้อมูลที่มีไม่สูงมากนัก(ถึงแม้ว่าในมาตรฐาน Ver. ใหม่ของตัว
Bluetooth จะสามารถทำความเร็วได้เพียงพอที่จะดูหนังความละเอียดไม่สูงมากได้แล้วถ้าเทียบกับ Ver. เก่าๆ แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของรูปแบบ
การเชื่อมต่ออื่นๆซึ่งจะพูดในหัวข้อหลังๆก็ถือว่ายังต่ำเกินไป โดยเฉพาะการดูหนังที่มีความละเอียดสูง ซึ่งเรียกได้ว่ากลายเป็นมาตรฐานของหนังใน
ปัจจุบันไปแล้ว)
            ดังนั้นถ้าเราใช้วิธีการเชื่อมต่อแบบนี้จึงทำได้แค่ส่งข้อมูลเสียงเพียงอย่างเดียว(ใช้โทรเข้า/ออก หรือฟังเพลงจากโทรศัพท์)แต่จริงๆแล้วมันยังมี
การเชื่อมต่อไร้สายอีกแบบที่สามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงไปพร้อมๆกันได้ แต่ตอนนี้(อนาคตไม่แน่)มันยังไม่สามารถใช้กับเครื่องเสียงน้องแจ๊สเราได้ 
ดังนั้นผมขอรวบไปพูดตอนท้ายๆทีเดียวเลยแล้วกันครับ

2.การเชื่อมต่อแบบใช้สาย

            
-การเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI(High-Definition Multimedia Interface) ของเครื่องเสียง


               ถ้าดูภาพที่ผมทำแล้วไม่เข้าใจ(พยายามที่สุดแล้วได้แค่นี้จริงๆ) ก็ลองดูตัวอย่างจากของ City แทนนะครับน่าจะเข้าใจง่ายกว่า เพราะเครื่องเสียงตัวเดียวกัน ขออนุญาตเจ้าของคลิปไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

เล่นวิดีโอจากสมาร์ทโฟนผ่านสาย HDMI ไปออกที่เครื่องเล่น 7นิ้ว City 2014


รีวิว วิธีการใช้สาย HDMI ต่อเข้าสมาทโฟนไปออกที่เครื่องเล่น 7นิ้ว

วิธีการต่อสาย HDMI ของมือถือ Android

วิธีการต่อสาย HDMI ของ Iphone/Ipad

                  ข้อดีของรูปแบบนี้คือสามารถส่งทั้งภาพและเสียงไปแสดงได้พร้อมๆกันเนื่องจากความเร็วในการส่งข้อมูลสูงกว่าทุกๆวิธีในปัจจุบัน สังเกตจากชื่อมันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ(ส่งข้อมูลภาพและเสียงความละเอียดสูง) ดังนั้นการเชื่อมต่อด้วยวิธีนี้ถือว่าดีที่สุด(ในปัจจุบัน)ครับ ส่วนข้อเสียก็อย่างที่เห็นล่ะครับว่าต้องต่อสายกันระโยงระยางทีเดียว ถึงจะแค่ 2 เส้นก็เถอะแต่พอมันไปกองๆรวมกันแถวๆข้างๆเกียร์(ในความรู้สึกส่วนตัว)ผมว่ามันค่อนข้างเกะกะ นี่ยังไม่รวมถึงกรณีมีการต่อกล้องติดรถยนต์ซึ่งต้องเดินสายมาเสียบกับที่จุดบุหรี่อีกยิ่งรกกันไปใหญ่ (จะบ่นไปทำไมหว่า เราไม่ได้ใช้อะไรสักอย่าง 55) แต่ทำไงได้ในเมื่อมันเป็นทางเลือกเดียวที่ทำได้ในปัจจุบันนี่นา

                     อ้อข้อเสียอีกอย่างคือเจ้ามือถือของเรามันไม่เป็นอิสระเพราะต้องเสียบอยู่กับสาย ไอ้ครั้นจะหยิบมาเล่นโน่นเล่นนี่เผื่อได้เป็นนายแบบจำเป็นให้จ่าถ่ายรูปข้อหาใช้มือถือขณะขับรถก็คงลำบากถ้าสายมันสั้นไป แต่ถ้าสายยาวก็เกะกะอีก(จินตนาการสูงจริงๆเรา เขียนยังกะเจอปัญหาเองทั้งๆที่ไม่เคยใช้) เดี๋ยวไปดูวิธีแก้ปัญหานี้ในข้อต่อไปครับ
   3.การเชื่อมต่อแบบลูกครึ่ง                    การเชื่อมต่อแบบนี้ก็ตามชื่อที่ผมเรียกล่ะครับ คือมันใช้สายครึ่งนึงไม่ใช้อีกครึ่งนึง ลองดูตามภาพประกอบนะครับ
                   นั่นคือระหว่างมือถือกับเครื่องเสียงของเราจะมีตัวกลางเข้ามาคั่น ซึ่งเจ้าตัวที่เข้ามาคั่นนั้นเค้าเรียกกันว่า Dongle ซึ่งหน้าที่ของเจ้าตัวกลางนี้คือทำการรับข้อมูล(ภาพและเสียง)จากมือถือของเราแล้วส่งไปยังจอแสดงผล(ในที่นี้คือจอเครื่องเสียง) ผ่าน Port HDMI เหมือนวิธีการที่แล้ว เพียงแต่ความแตกต่างคือมือถือของเราไม่จำเป็นต้องต่อด้วยสายเหมือนวิธีที่แล้ว เพราะการส่งข้อมูลระหว่างมือถือกับ Dongle นั้นจะใช้ผ่านช่องทาง WiFi แทนการใช้สาย ทำให้มือถือของเราเป็นอิสระมากขึ้น(หยิบมาเล่นให้โดนจ่าถ่ายรูปได้ละ) และยังถือว่าเป็นการลดสายไปได้เส้นนึงเพราะเจ้า Dongle นั้นเสียบเข้ากับ Port HDMI ได้ตรงๆ(เหมือนเสียบแฟลชไดรฟ์ในช่อง USB)เลย 

                    เพื่อความเข้าใจมากขึ้นลองชมคลิปด้านล่างนี้ โดยให้ถือว่าจอเครื่องเสียงของเราก็คือจอ TV ในคลิปนั่นล่ะครับ ใครฟังรู้เรื่องก็ฟังดูนะครับ ผมฟังไม่ออกก็อาศัยดูภาพเอา แต่ที่ตัดสินใจเอาคลิปนี้มาเพราะมันจะมีการเปรียบเทียบ 2 รูปแบบ(ใช้สายกับแบบลูกครึ่งตามที่ผมกำลังอธิบายพอดีเลย)
           ด้วยวิธีการต่อแบบลูกครึ่งนั้น ถึงแม้ว่าเราจะได้อิสระมาครึ่งนึงแล้ว(มือถือไม่ต้องมีสายพันธนาการละ) แต่ก็จะเห็นในคลิปว่า Dongle บางรุ่นยังคงต้องใช้สาย HDMI คู่กับสาย USB นะครับ เพราะการออกแบบมาอาจจะไม่ได้หน้าตาแบบแฟลชไดรฟ์ ทำให้เสียบตรงๆลำบาก ซึ่งย่อมหมายถึงว่ามันไม่ได้ตอบคำถามในการแก้ปัญหาสายระเกะระกะเหมือนเดิม แต่ก็พอมีวิธีการแก้ปัญหาแบบศรีธนญชัยอยู่ครับ ในเมื่อสายอยู่ข้างหน้ามันเกะกะเราก็เอามันไปยัดไว้ด้านหลัง(ในแผงคอนโซล)ซะเลยสิจะได้ไม่เกะกะรกหูรกตา         สำหรับวิธีแบบศรีธนญชัยนั้นจำเป็นจะต้องสั่งจากเมืองนอก(มาเลเซีย)นะครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลดูในเมืองไทยยังไม่พบว่ามีขาย(หรือมีแต่ผมหาไม่เจอ) ราคาเท่าที่สอบถามก็ประมาณ 5800 บาทครับ ไม่ได้มาโฆษณาขายนะครับใครสนใจก็ติดต่อกันเอาเอง ผมถามราคาเพื่อมาใส่ในบทความเท่านั้นเอง
ลองดูอุปกรณ์ในชุดติดตั้งและคลิปการทำงานของมันนะครับ

           จะเห็นได้ว่าการทำงานของมันก็ไม่ต่างกับแบบลูกครึ่งที่เราได้เห็นกันไปแล้ว นั่นคือรับสัญญาณภาพและเสียงจากมือถือผ่าน WI-FI แล้วส่งต่อออกหน้าจอเครื่องเสียงผ่าน HDMI เหมือนเดิมเพียงแต่ทุกอย่างมันเสียบไว้ข้างหลัง(ในคอนโซล) ทำให้ดูแล้วไม่รกรุงรัง และข้อดีของมันคือมีหัวต่อที่เป็น OEM Socket ทำให้ไม่ต้องตัดต่อสายไฟให้วุ่นวายสามารถเสียบแทนของเดิมได้เลย ส่วนประกันจะขาดรึปล่าวอันนี้ผมไม่รับรองนะครับ
        ส่วนจุดขายอีกอันที่น่าสนใจคือเราจะเห็นว่ามีตัวที่เขียนว่า TV Free/Video In Motion ซึ่งก็คือทำให้สามารถดูภาพหน้าจอขณะรถเคลื่อนที่ได้ ตามที่มีหลายคนโพสวิธีการตัดสายสัญญาณของเบรคมือมาลงกราวน์เพื่อปลดล็อคนั่นล่ะครับ แต่อันนี้เค้าทำเป็น Socket สำเร็จรูปมาเลย อ้อมี Port USB พิเศษแยกจากตัวเครื่องเสียงรถมาอีกตัวซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเสียบตรงนี้จะสามารถดูหนังนามสกุล .RMVB ได้ด้วย เพราะตัวเครื่องเสียงเองนั้นเข้าใจว่ารับเฉพาะไฟล์ .MP4 ครับ รายละเอียดอื่นๆก็ลองหาอ่านกันดูครับเดี๋ยวกลายเป็นว่าผมมาโฆษณาขายให้เค้าซะ 555
           เบื้องหลังการทำงานแบบลูกครึ่ง
                  ในหัวข้อนี้เราจะมาดูเบื้องหลังการทำงานแบบลูกครึ่งกันนะครับ เพื่อเป็นการปูทางก่อนเข้าสู่วิธีการเชื่อมต่อรุปแบบสุดท้าย ลองดูคลิปนี้กันก่อนนะครับจะได้เห็นภาพชัดขึ้น(ฟังเข้าใจด้วยดีกว่าคลิปที่แล้วโน่น) เหมือนเดิมครับให้จินตนาการเอาว่า TV ก็คือเจ้าเครื่องเสียงของเรา
        จะเห็นว่าโดยหลักการคือมือถือของเราติดต่อกับเจ้า Dongle ผ่านช่องทาง WI-FI ซึ่งเรียกหลักการนี้ว่า Wi-Fi-Direct(กดที่นี่เพื่อดูรายละเอียด) ซึ่งก็ตามชื่อล่ะครับมันคือ Wi-Fi ที่มีการเชื่อมต่อกันโดยตรง หมายถึงว่าไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่าง Router หรืออื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนการนำหน้าจอมือถือไปแสดงยังจอภาพภายนอก(ทีวีหรืออื่นๆ) จะเรียกกันว่า Miracast ครับ
                ส่วนคนที่ใช้ไอโฟน/ไอแพด คงเคยได้ยินคำว่า AirPlay กันมาแล้ว ซึ่งเจ้า AirPlay ที่ว่านี้จะต่างกับเจ้า Wi-Fi-Direct ตรงที่ว่าอุปกรณ์ 2 ตัวที่จะเชื่อมต่อกันนั้นจะต้องอยู่ภายในวง Network เดียวกัน(ตามลิงค์ตรงคำว่า AirPlay นั่นล่ะครับ) ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องมี Router หรืออื่นๆเป็นตัวกลางเพื่อให้เจ้าอุปกรณ์ 2 ตัวอยู่ในวงเดียวกันมันถึงจะหากันเจอและติดต่อกันได้
               จริงๆแล้วทาง Apple บอกไว้ว่าจะต้องเป็นอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้นจึงจะสามารถใช้วิธีการนี้ได้ แต่จริงๆแล้วแอนดรอยด์อย่างเราๆก็สามารถนำไปแสดงผลบนอุปกรณ์ Apple ได้เหมือนกัน ใครสนใจก็ลองค้นหากันดูนะครับขอไม่อธิบายเดี๋ยวจะยืดยาวไป
                  เรามาดูคลิปการทำงานของอุปกรณ์(ทีวี)รุ่นใหม่ๆที่รองรับเจ้า Wi-Fi-Direct กันครับว่ามันทำงานยังไง
               จะเห็นว่าความต่างของเจ้า Wi-Fi-Direct กับ Airplay คือเราไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับการกำนหนด IP ให้อยู่ในวงเดียวกันมันก็หากันเจอเองเลย (แว่วๆมาว่าทาง Apple จะใส่การทำงานแบบ Wi-Fi-Direct เข้ามาใน IOS 8 ที่กำลังจะออกเร็วๆนี้ http://www.cultofmac.com/282209/airplay-longer-requires-wi-fi-network-ios-8/ )  ซึ่งจะว่าไปแล้วเจ้าทีวีรุ่นใหม่ๆนี้ก็เปรียบเสมือนจับเจ้า Dongle ยุบรวมเข้ามาในตัวเลยนั่นเอง ทำให้เมื่อแสดงผลก็แสดงตรงได้เลยไม่จำเป็นต้องผ่าน HDMI อีกเพราะมันมีจอของตัวเองอยู่แล้วนั่นเอง ไม่งงนะครับ(เหมือนอธิบายวกวนยังไงไม่รู้ 555)
   4.การเชื่อมต่อแบบที่คาด(หวัง)ว่าจะมี
               ตามภาพเลยครับ สิ่งที่คาด(หวัง)ว่าเจ้าเครื่องเสียงในน้องแจ๊สของเราจะทำได้ เนื่องจากถ้าเราลองกดๆเครื่องเสียงดูจะพบว่ามันมีเมนูในการเปิดปิด Wi-Fi อยู่ด้วย ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้มือถือคู่ชีพ(ซึ่งทำอะไรแทบไม่ค่อยได้) ตั้งตัวเองเป็น Hotspot ดูก็พบว่าเจ้าเครื่องเสียงมันสามารถที่จะมาเกาะกับเจ้ามือถือของผม(ได้รับ IP) ภาพอาจจะมืดๆหน่อยนะครับเพิ่งถ่ายสดๆเมื่อสักครู่นี่เอง

             นั่นหมายถึงว่าถ้าตามหลักการแล้วอย่างน้อยๆมันควรจะรองรับการทำงานแบบ Airplay(ก็มันของ Apple นี่นา) แต่เท่าที่เคยลองโดยการใช้มือถืออีกเครื่องตั้งเป็น Hotspot แล้วใช้เจ้า Lenovo + เครื่องเสียงน้องแจ๊สเข้าไปเกาะมือถือเครื่องแรก(เพื่อให้อยู่ในวง Wi-Fi เดียวกัน) แล้วเปิดโปรแกรม(ของ Android)ซึ่งเค้าบอกว่ามันสามารถเชื่อมต่อแบบ Airplay ได้(แต่ยังไม่เคยลองกับของ Apple จริงๆนะครับเพราะไม่มี เคยแต่ลองเชื่อมกับเจ้ากล่อง Android-TV ที่มีอยู่มันสามารถเปิดหนัง+ภาพขึ้นไปแสดงบนจอทีวีได้)

                 ผลปรากฏว่าโปรแกรมมันหาจอน้องแจ๊สเราไม่เจอครับ ดังนั้นใครที่ใช้ไอโฟนอาจจะใช้วิธีการทดสอบแบบผมดูว่าถ้าเป็นมือถือไอโฟนเองมันจะสามารถหาเจอหรือไม่ ส่วนเรื่องของ Miracast บน Wi-Fi-Direct นี่แทบไม่ต้องทดลองกันเลย เพราะอย่างที่บอกว่าทาง Apple จะรองรับการทำงานใน IOS 8 ที่ยังไม่ออก ดังนั้นเครื่องเสียงน้องแจ๊สเราคงไม่ล้ำหน้ารุ่นใหญ่(ไอโฟน/ไอแพด)อย่างแน่นอนครับ
                 อีกความคาดหวังนอกจากเรื่องของการเอาภาพมือถือขึ้นหน้าจอก็คือ ในเมื่อน้องแจ๊สสามารถที่จะรับ IP ได้ นั่นย่อมหมายถึงว่าสามารถออกไปท่องโลกอินเตอร์เน็ตโดยผ่านหน้าจอเครื่องเสียงเราได้เลย แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงติดปัญหาเดียวคือตัว Firmware คงยังไม่ได้เปิดให้เราใช้ประโยชน์อะไรจากเจ้า Wi-Fi  ที่ติดตั้งมา นอกจากรับ IP ไว้ดูเล่นเท่านั้นเอง                  ความคาดหวังของผมนี่ไม่ได้เพ้อเจ้อนะครับ เพื่อไม่ให้เสียชื่อจ้าวแห่งคู่มือ ขออนุญาตอ้างอิงจากคู่มือหน้าที่ 209 ลองดูตรงที่ผมทำกรอบไว้นะครับ
                   จะเห็นว่ามีการระบุชัดเจนว่าให้เลือกแอปพลิเคชั่นที่ต้องการ นั่นย่อมหมายถึงว่าในที่สุดแล้วมันจะต้องมีแอปพลิเคชั่นให้เราเลือกใช้(อย่างน้อยๆก็ Browser เพื่อใช้ท่องโลกอินเตอร์เน็ตล่ะ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะรับ IP มาทำอะไร ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือรอๆๆฟังข่าวเผื่อว่าเค้าจะมีการอัพเฟิร์มแวร์ของเครื่องเสียงเราให้หลังจาก IOS 8 ออกมาแล้วครับ ยิ่งเขียนยิ่งงงดังนั้นขออนุญาตจบบทความแบบห้วนๆตรงนี้เลย ขอบคุณที่ทนอ่านกันมาจนจบนะครับ

Tuesday, August 26, 2014

ว่าด้วยเรื่องเครื่องเสียงใน Jazz 2014

ว่าด้วยเรื่องเครื่องเสียงใน Jazz

                  ด้วยความคับข้องใจ(อีกแล้ว)ว่าทำไมเจ้าเครื่องเสียงในน้อง Jazz ของเราถึงต้องไปแอบอิงกับเจ้าไอโฟนนักหนา จะสั่งให้ทำโน่นทำนี่ก็ต้องใช้ Siri อย่างเดียว แม้กระทั่งโปรแกรม HondaLink ของไอโฟนก็ยังมีฟีเจอร์มากกว่ามีแผนที่ให้อีกต่างหาก ทำไมถึงไม่ทำให้คอแอนดรอยด์อย่างเรามั่ง ดังนั้นเมื่อมีคำถามในใจสิ่งที่จะช่วยไขปัญหาได้คือการค้นข้อมูลครับจะได้เคลียร์กันไปเลยว่าทำไม????

                  นั่นจึงเป็นที่มาของบทความนี้ซึ่งผมจะพยายามอธิบายสิ่งที่ได้จากการค้นข้อมูลเพื่อตอบตัวเอง ดังนั้นข้อมูลอาจจะมีตกหล่นหรือผิดพลาดไปบ้าง ถ้าใครเห็นว่าตรงไหนไม่ถูกต้องก็แย้งมาได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังและแก้ไข ทั้งนี้จะได้เป็นประโยชน์กับอีกหลายๆคนที่อาจจะมีคำถามนี้ในใจเช่นกัน

                  และแล้วผมก็ได้คำตอบว่าทำไมอะไรๆก็ต้อง Siri นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าเครื่องเสียงของน้องแจ๊สเรานั้นสร้างขึ้นมาบนมาตรฐานที่เรียกกันว่า Apple Carplay หรือเดิมเรียกว่า IOS in the Car นั่นเองครับ แค่เห็นชื่อก็คงได้คำตอบกันแล้วว่าทำไมถึงต้อง Siri เท่านั้น ใครสนใจรายละเอียดลองเข้าไปศึกษาดูได้ครับที่ https://www.apple.com/ios/carplay  เข้าไปแล้วก็จะเห็นเจ้าเครื่องเสียงที่หน้าตาเหมือนของน้องแจ๊สเราเลย แต่จริงๆแล้วเจ้า Carplay นี่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องหน้าตาแบบเดียวกันนี้นะครับ มันไม่เหมือนกับไอโฟน,ไอแพด ไออะไรต่อมิอะไรที่ Apple ทำออกมาขายนะครับ เพราะคำว่า Apple Carplay นั้นจะเรียกว่าเป็นชื่อเรียกมาตรฐานในการเชื่อมต่อกับเจ้าอุปกรณ์ตระกูลไอซะมากกว่า

             เพราะ Apple ไม่ได้ทำเองเหมือนเจ้าพวกตระกูลไอที่ Apple ทำเองทั้งฮาร์ดแวร์รวมไปถึงตัวระบบปฏิบัติการเช่น IOS หรือ OSX (เท่าที่ทราบตัวฮาร์ดแวร์เครื่องเสียงของน้องแจ๊สเราทำโดยบริษัทมิตซูบิชิอิเล็กทริคครับ) แต่เป็นเหมือนพิมพ์เขียวให้แต่ละบริษัทนำไปพัฒนาต่อยอดเอาเอง แต่สุดท้ายแล้วเป้าหมายคือสามารถเชื่อมต่อกับ IOS ของไอโฟนและไอแพดเพื่อดึงความสามารถของ Siri และโปรแกรมอื่นๆของ IOS มาใช้ได้นั่นเอง และสิ่งที่น่าภูมิใจคือบริษัท Honda ก็นับเป็นบริษัทแรกๆที่นำเจ้า Carplay เข้ามาใส่ไว้ในรถยนต์พร้อมๆกับบริษัทรถยุโรปเลยครับ เท่ห์มั้ยล่ะ

ลองดู Demo ของบริษัทต่างๆนะครับว่า Carplay เค้าใช้ทำอะไรกันได้บ้าง


รวมๆ Apple Carplay

ฮุนได


วอลโว่

           โดยในความคิดส่วนตัวของผมจะว่าไปแล้วในเบื้องต้นนี้ก็ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดที่มันสามารถขับรถแทนเราได้ ดังนั้นมันก็ไม่ได้ต่างจากการสั่งงาน Siri บนไอโฟนทั่วๆไปเท่าไหร่ เพียงแต่มันเป็นการสั่งผ่านเครื่องเสียงจากในรถไปยังไอโฟนอีกที และการแสดงผลมันมาแสดงบนหน้าจอเครื่องเสียงเท่านั้นเอง แต่ในอนาคตอีกไม่นาน(ผมคงจะอยู่ทันได้ดู)น่าจะมีการสั่งงานที่ซับซ้อนกว่านี้แน่ครับ

             ส่วนสาวกแอนดรอยด์ไม่ต้องน้อยใจครับ เมื่อเดือนที่ผ่านมาทาง Google ก็ได้เปิดตัวระบบที่ใช้ชื่อว่า Android Auto ซึ่งเท่าที่ดูการทำงานเรียกว่าไม่ต่างกับ Carplay เลย เพราะทางสาย Android เราก็มีตัวสั่งงานด้วยเสียงที่เรียกว่า Google Now ที่ไม่น้อยหน้า Siri เหมือนกัน แถมยังสามารถสั่งงานด้วยภาษาไทยมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ส่วน Siri นั้นยังต้องใช้ภาษาอังกฤษอย่างเดียว(แต่ได้ข่าวว่ากำลังซุ่มพัฒนาระบบภาษาไทยอยู่เหมือนกัน) และเช่นเคยฮอนด้าก็เป็นหนึ่งในค่ายรถยนต์ที่ได้เซ็นต์สัญญากับ Google ว่าจะนำ Android Auto มาใช้ด้วย


Android Auto

         แถมให้อีกสำหรับสาวก Windows Phone อย่าคิดว่างานนี้ Microsoft จะยอมนะครับเพราะทาง Microsoft เองก็มี Windows in the Car เหมือนกันครับใช้สั่งงานด้วยเสียงผ่านโปรแกรม Cortana ซึ่งเทียบเท่ากับ Siri และ Google Now นั่นล่ะครับ

Windows in Car

           ดังนั้นสิ่งที่น่าจะสร้างความปวดหัวให้กับผู้ซื้อรถในอนาคต นอกจากจะต้องตัดสินใจว่าจะเอายี่ห้อ+รุ่น+สีไหนแล้ว อีกสิ่งที่ต้องเลือกคงจะเป็นเรื่องของเครื่องเสียงนี่ล่ะครับว่าจะเอาของค่ายไหนเพื่อให้เข้ากับโทรศัพท์มือถือที่เราใช้อยู่ เช่นต้องบอกเซลส์ว่าเอา Jazz V+ สีขาว Android Auto หรือ Jazz V+ สีขาว Apple car Play เป็นต้น  วันนี้จบแค่นี้ก่อน ไว้มีเวลาจะมาพูดเรื่องของการเชื่อมต่อมือถือกับเครื่องเสียงอีกครั้งครับ

ขั้นตอนการจองทะเบียนรถยนต์

ขั้นตอนการจองทะเบียนรถยนต์
******  เฉพาะทะเบียน กทม.  ******

1.  ขั้นตอนการคิวจองผ่านเว็บ


             อันนี้สำคัญมากครับเพราะถ้าเราไม่จองคิวผ่านทางเว็บไปก่อนแล้วไปจองเอาที่โน่นเนี่ยคิวจะยาวมากพอสมควร และเราต้องไปต่อหลังคนสุดท้ายที่จองผ่านเว็บไว้นะครับ ปัญหาไม่ใช่ว่าคนเยอะแล้วจะช้านะครับเพราะเค้าทำงานรวดเร็วมากๆๆๆ ผมใช้เวลา(นับจาก 8.30 ที่เปิดเรียกคิว)เพียงไม่ถึง 2 นาที(ผมได้คิวที่ 7)ก็เรียบร้อยแล้วครับ แต่ถ้าเราไม่จองคิวแรกๆไว้ ปัญหาคือเลขที่เราหมายตาไว้อาจจะโดนคนที่จองก่อนหน้าเราเค้าเอาไปก่อนเท่านั้นเองครับ
             ขั้นแรกเลยเราต้องดูก่อนว่าเจ้าหมายเลขที่เราต้องการนั้นเค้าเปิดให้จองวันไหน โดยเข้าไปที่                           http://www.tabienrod.com/m/shownumber.html   ก็จะเห็นว่าวันไหนคือวันที่เราต้องเข้าไปจอง           

               เมื่อรู้วันที่เราจะต้องไปจองแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะทำการจองคิวกันละ สำหรับการจองคิวให้เข้าไปที่  http://www.tabienrod.com/m/index.html  ซึ่งทางเว็บเค้าจะเปิดให้ทำการจองตั้งแต่ 6 โมงเย็น(18.00น.) ถึง 7 โมงเช้าของอีกวัน ซึ่งหมายถึงว่าเราจะต้องเข้าไปจองคิวผ่านเว็บก่อนวันที่เราจะเข้าไปที่กรมขนส่งฯนะครับ เช่นผมต้องการจองเลข 3กผ-175 ซึ่งเป็นของวันนี้(พฤหัสฯ) ผมก็ต้องเข้าไปจองคิวตั้งแต่เย็นวาน(วันพุธ)เป็นต้น
              ในขั้นตอนนี้ต้องขยันกด Refresh หรือปุ่ม F5 และใช้ความเร็วกันหน่อยนะครับเพราะเค้าจะเปิดให้กดจองได้ตอน 6 โมงเย็นตรงเป๊ะ(ก่อนหน้านั้นจะกดปุ่มรับคิวไม่ได้) สิ่งที่ต้องกรอกก็มีชื่อนามสกุล กับหมายเลขบัตรประชาชนครับ แนะนำว่าใช้วิธีพิมพ์ใส่ Notepad ไว้แล้วใช้การ Copy => Paste แทนการพิมพ์นะครับ ไม่งั้นไม่ทันคิวแรกๆแน่ เพราะเมื่อวานเท่าที่เก็บสถิติดู ผ่านไป 2 นาที(นับจาก 6 โมงเย็น) คิวขึ้นไปเป็น 221 คิวแล้ว(ไวกันแท้) หลังจากจองได้ก็จะได้ตามนี้ครับ

                 จะเห็นว่ามีเวลาเรียกคิวโดยประมาณ สำหรับคนที่บ้านอยู่ไกลแล้วจองได้คิวแรกๆก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปไม่ทันนะครับ เนื่องจากว่าเมื่อถึงเวลาจริงขั้นตอนการตรวจเอกสารนั้นไม่ได้เรียงตามคิวนี้ครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายในขั้นต่อๆไปนะครับ ภาพข้างล่างแสดงให้เห็นว่ามีการปิดรับการจองคิวผ่านเว็บแล้ว(หลัง 7 โมง) จะมีตัวเลขแสดงจำนวนคิวที่จองไว้ ซึ่งใครที่ไปโดยไม่ได้จองผ่านเว็บก็ต้องไปต่อท้ายคนสุดท้ายในคิวนั้นครับ นั่นคือคุณต้องเป็นคิวที่ 420 เป็นต้นไป

2.  ขั้นตอนการไปจองหมายเลขที่กรมขนส่ง

               เอกสารที่ต้องเตรียมไป(ตัวจริง+สำเนา 1 ชุด เซ็นต์รับรองสำเนาให้เรียบร้อยนะครับ) หลักๆก็บัตรประชาชน ส่วนอันอื่นก็เลือกเอาอย่างเดียวครับ ที่สำคัญคือให้เป็นเอกสารที่มีชื่อเรา+หมายเลขตัวถัง+เลขเครื่องยนต์รถเท่านั้นเอง สะดวกอันไหนเอาอันนั้นไปครับไม่ต้องหอบไปหมด

                 เมื่อทำการจองคิวผ่านเว็บไว้เรียบร้อยแล้ว ในวันรุ่งขึ้นก็เข้าไปที่กรมขนส่งฯโดยให้ไปที่ อาคาร 2 ชั้น 5 (ถ้าเข้าทางประตูหน้า) ตึกจะอยู่ทางซ้ายมือหลังจากเข้ามาประมาณ 100 เมตรครับ ถ้าไปถึงเช้ามากก็ไม่ต้องรีบขึ้นไปหรอกครับ เพราะคนจะไปออกันอยู่ตรงบันไดทางขึ้น(ลิฟท์ยังไม่เปิด)ซึ่งร้อนและแออัดมากๆๆ เพราะเค้าจะเปิดให้เข้าไปในห้องได้ตอน 7.30 น. ครับ  ดังนั้นถึงขึ้นไปยืนรอตรงนั้นก็ไม่มีผลอะไรครับ อยู่ข้างล่างสบายๆรอขึ้นลิฟท์ตอน 7.30 น. สบายกว่าเพราะลิฟท์มันไปโผล่ในห้องเลย(ขึ้นไปถึงเค้าก็เปิดแอร์ไว้ให้แล้วสบายกว่ากันเยอะ) 

            พอเข้าไปในห้องได้แล้วก็หยิบใบแบบคำขอจองทะเบียนซึ่งมีตั้งไว้ประมาณ 4-5 จุดมาทำการกรอกให้เรียบร้อย โดยบนโต๊ะที่กรอกจะมีหมายเลขที่เราสามารถเลือกได้(หมายเลขสวยมากๆเค้าเอาออกไปเกือบหมดละ) แปะไว้ด้วย  ซึ่งในช่องเลขที่ต้องการนั้นเรากรอกไปสักเลขเดียวก่อนก็ได้ครับ เผื่ออยากจะรีบไปต่อคิวตรวจเอกสารก่อน(ซึ่งจริงๆก็ไม่มีผลอะไรเพราะสุดท้ายก็ยึดตามคิวที่จองผ่านเว็บเป็นหลักครับ) แล้วค่อยมาเลือกใส่เพิ่มทีหลังก็ได้ครับ เวลาเหลือเฟือ



                           

               หลังจากกรอกเอกสารเรียบร้อยก็ไปยืนเข้าคิวตรวจเอกสารครับ ซึ่งถ้ามีเอกสารครบจะใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาทีต่อคนเท่านั้นเอง ทางเจ้าหน้าที่ก็จะถามหมายเลขคิวที่เราจองผ่านเว็บไว้ แล้วจะมีบัตรคิว(ตามลำดับที่จองไว้)เย็บรวมกับเอกสารของเราเพื่อรอขั้นตอนต่อไป


                ซึ่งขั้นตอนต่อไปที่ผมว่านั้นจะเริ่มตอน 8.30 น. ครับ ใครที่ตรวจเอกสารเรียบร้อยแล้วจะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายก่อนก็ได้ หรือจะไปกรอกหมายเลขที่ต้องการให้ครบ 12 ช่องเผื่อไว้ก็ได้เพราะต้องรอ 8.30 เป๊ะครับ และนี่คือเหตุผลที่ผมบอกไว้ในตอนแรกๆว่าใครที่ได้คิวแรกๆนี่ไม่ต้องตกใจว่าจะต้องรีบไปเช้ามากนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่าคิวในการตรวจเอกสารนั้นไม่ได้มีผลต่อลำดับการจองครับ จะตรวจเสร็จก่อนหรือหลัง สุดท้ายแล้วตอน 8.30 เค้าจะเรียกตามคิวที่จองผ่านเว็บไว้ครับ พูดง่ายๆว่าไปสายหน่อยก็ได้แต่อย่าให้เกิน 8.30 แล้วกันสำหรับคนที่อยู่คิวแรกๆ เผื่อเวลาไว้เข้าแถวตรวจเอกสารหน่อย เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าเค้าเรียกผ่านไปแล้วเรายังไม่มานี่เค้าจะแทรกให้มั้ย

             พอถึงเวลา 8.30 จะมีเจ้าหน้าที่มานั่งตรงเคาท์เตอร์แล้วเรียกลำดับคิวเหมือนเราไปธนาคารกันนั่นล่ะครับ ในขั้นตอนนี้เอกสารตัวจริงไม่ต้องใช้แล้วเก็บไปได้เลยครับ ส่งแค่เอกสารสำเนาที่ผ่านการตรวจ(มีตราประทับ)ให้เค้าได้เลย เค้าก็จะตรวจดูว่าหมายเลขที่เราต้องการนั้นมีคนก่อนหน้าจองไปรึยัง ถ้าไม่มีเค้าก็จะเขียนใส่กระดาษมาแผ่นนึงให้เราเป็นอันจบขั้นตอน กลับบ้านได้เลย(อย่าลืมโทรแจ้งเซลส์ด้วยล่ะครับสำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อเงินสด เพราะทางเซลส์เค้าต้องเอาเลขนี้ไปแจ้งจดทะเบียนให้เราครับ) 
         แต่ถ้ามีคนจองไปก่อนแล้วเค้าก็จะไล่ไปทีละตัวจนครบ 12 ตัวที่เราจองนั่นล่ะครับ เลขไหนว่างก็ได้เลขนั้น พอดีผมได้คิวแรกๆและคิดว่าเลขที่ต้องการก็ไม่ได้สวยอะไรเลยเขียนไปเลขเดียวแล้วได้เลย สำหรับขั้นตอนนี้ใช้เวลา(กรณีเลขที่ต้องการยังไม่มีใครจองไปก่อน)ประมาณไม่เกิน 20 วินาทีต่อคนครับ




ปล.สำหรับขั้นตอนการจองนั้นไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆนะครับ
สุดท้ายก็ต้องขอชื่นชมการทำงานของกรมขนส่งฯว่ารวดเร็วทันใจ จนสามารถลบภาพเก่าๆว่าระบบราชการทำงานช้าไปได้ดีมากๆครับ

                มาอัพเดตข้อมูลเพิ่มอีกหน่อย พอแจ้งหมายเลขที่จองได้กับเซลส์ไปในวันพฤหัส รุ่งเช้า(วันศุกร์)เซลส์ถามมาว่าไปจองในชื่อใครเพราะในระบบไม่มีชื่อเรา อ้าว! ยังไงล่ะเนี่ย เลยเพิ่งรู้ว่านอกจากกระดาษใบเล็กๆที่เราได้มาแล้วมันยังมีช่องทางตรวจสอบเพื่อความมั่นใจโดยการเข้าไปที่ http://www.roadsafefund.com/index.php/en/จองทะเบียน/ตรวจสอบผลการจองทะเบียน.html ไอ้เราก็รีบเข้าไปกรอกหมายเลขบัตรประชาชนแล้วกดค้นหาเลย ผลก็คือ....


                นึกในใจว่าเอาแล้วไงไม่มีชื่อจริงๆด้วย แต่หลังจากตั้งสติได้อ่านข้อความในบรรทัดที่ 2 (ข้อมูลอัพเดททุกวันศุกร์)ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยว่าเออคงอัพหลัง 16.30 ล่ะมั้งคือเคลียร์เป็นอาทิตย์ๆไป ค่ำๆวันศุกร์จนถึงเช้าวันนี้(เสาร์)ก็พยายามตรวจสอบ ผลลัพธ์เหมือนเดิมคือไม่พบในฐานข้อมูล นึกในใจ(อีกแล้ว)ว่างานเข้าแล้วเราผิดพลาดไรปล่าวเนี่ย จนช่วงเที่ยงเน็ตทรูล่มเข้าไม่ได้เลยลืมเรื่องนี้ไปเลย เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา(เน็ตใช้ได้ตอน 2 ทุ่มหลังจากล่มไปเกือบ 8 ชั่วโมง) นึกขึ้นมาได้เลยลองเสี่ยงเข้าไปดูอีกรอบ ผลก็คือทุกอย่างเรียบร้อยครับ


                 เลยตัดสินใจว่ามาเขียนเพิ่มไว้ดีกว่าเผื่อว่ามีบางคนที่อ่านแต่บรรทัดแรกแบบผม โดยเฉพาะคนที่จองวันแรกๆของสัปดาห์นี่คงร้อนใจกันแย่ เลยมาบอกว่าไม่ต้องกังวลใจครับยังไงๆไม่น่าจะเกินวันอาทิตย์(เผื่อล่าช้าไว้หน่อย)เพราะเค้าต้องเคลียร์ให้จบเป็นสัปดาห์ๆอยู่แล้วครับผม