Sunday, September 28, 2014

สร้าง Partition บน HDD External ไว้ฟังเพลงใน JAZZ 2014

       สืบเนื่องมาจากได้อ่านคำถามของเพื่อนๆเรื่องเอา HDD External ไปเสียบเพื่อจะฟังเพลงใน Jazz แล้วมองไม่เห็น HDD ด้วยความที่เป็นคน IT เลยคันไม้คันมืออยากจะเขียนบทความสักบทเพื่อแนะนำวิธีการ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายๆคน
                  
               ก่อนอื่นเรามาดูปัญหาที่น้อง Jazz ไม่พบ HDD ของเรากันก่อน สำหรับสาเหตุนั้นข้อแรกผมคาดว่า(เพราะขณะเขียนบทความนี้ รถไม่ได้อยู่กับตัวเลยยังไม่ได้ทดลอง) อาจจะเกิดจากปัญหาไฟที่จ่ายผ่าน USB ไม่เพียงพอ เพราะ HDD นั้นจะกินไฟมากกว่าพวก Flash Drive อยู่พอสมควรเนื่องจากต้องใช้มอเตอร์ในการหมุนจานข้อมูล ดังนั้นถ้าติดปัญหานี้ก็คงจะต้องใช้สาย USB ที่มี 2 หัวหรือที่เรียกกันว่าสาย นั่นล่ะครับ หาซื้อได้ตามร้านค้า IT ทั่วๆ เวลาใช้ก็เสียบเข้ากับ USB ในรถ 2 สายไปเลยจะได้ตัดปัญหาไฟไม่พอ


           สาเหตุที่ 2 ก็คือปัญหาของรูปแบบ Partition ครับ ถ้าใครเจอปัญหาแนะนำว่าให้ลองแก้ด้วยวิธีนี้ก่อน ถ้าไม่หายก็อาจจะเป็นไฟไม่พอ ต้องเสียเงินซื้อสาย ละครับ

            เนื่องจากว่าเจ้าเครื่องเสียงของ Jazz  นั้นไม่รองรับ Partition ที่เป็นแบบ NTFS  ดังนั้นดิสก์ที่นำมาใช้กับมันนั้นจะต้องเป็นรูปแบบ FAT32 เท่านั้น ซึ่งในกรณีของแฟลชไดรฟ์นั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเรามักจะ Format เป็นแบบ FAT32 กันอยู่แล้ว

            แต่สำหรับเจ้า External HDD ในปัจจุบันนั้นมันมีขนาดใหญ่(เกิน 32 GB) ที่ FAT32 อนุญาต ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการ Format เป็นแบบ NTFS กัน(เพราะ Format เป็น FAT32 ไม่ได้ตามข้อจำกัดข้างต้น) วิธีการแก้ปัญหานี้คือเราจะต้องแบ่ง HDD External ของเราออกมาเป็นไดรฟ์เล็กๆ(ไม่เกิน 32 GB)ในรูปแบบ FAT32 เพื่อให้น้อง Jazz มองเห็นครับ สำหรับคนที่มีข้อมูลอื่นๆเก็บอยู่ใน External HDD ก็ไม่ต้องกังวลใจไปครับ รับรองว่าข้อมูลเก่าที่มีอยู่ไม่หายแน่นอนครับ ลองมาดูขั้นตอนกันเลย

1.            โหลดโปรแกรมจาก http://www.easeus.com/download/epmf-download.html (เป็นของฟรีครับ)แล้วติดตั้งให้เรียบร้อย



มีเทคนิคในการติดตั้งเพื่อเลี่ยงโฆษณาและของแถม(ไม่มีอันตราย)นิดหน่อยครับ ก็ของฟรีนี่นา ผมไม่อธิบายนะครับให้ตั้งค่าตามภาพเอาเลย


เอาเครื่องหมายถูกออกแล้ว Next

กด Next ไปเลยครับไม่ต้องกรอกข้อมูลใดๆ

2.            เสียบเจ้า External HDD ของเราเข้าเครื่องแล้วเปิดโปรแกรม => เลือกตามภาพ


3.             ตามตัวอย่างผมใช้ HDD ที่มีขนาด 80 GB ที่ Format ไว้เป็น NTFS(เพราะตามที่บอกว่ามันเกิน 32 GB จะไม่สามารถ Format เป็น FAT32 ได้) ให้คลิกขวาที่ External HDD ของเรา แล้วเลือก Resize/Move partition 




4.               เลื่อนไปตรงปุ่มกลมๆ(ในวงกลมสีแดง) กดปุ่มซ้ายของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนไปทางซ้ายตามขนาดที่ต้องการ หรือจะใส่ตัวเลขในช่องข้างล่างเอาก็ตามสะดวก แต่ห้ามให้ส่วนของ Unallocated นั้นเกิน 32 GB นะครับไม่งั้นมันจะ Format เป็น FAT32 ไม่ได้ ตามตัวอย่างผมแบ่งแบบเอาชัวร์ๆไว้ที่ 30.67 GB แล้วกด OK ครับ


5.            จะเห็นว่าตอนนี้ HDD ของเราแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามที่ต้องการแล้ว


6.            คลิกขวาตรงส่วนของ Unallocated แล้วเลือก Create partition ครับ


7.               ทำการตั้งชื่อไดรฟ์ใหม่ในส่วนของ Partition Label ตามใจชอบเลยครับ จุดที่สำคัญคือในส่วนของ File System นั้นให้เลือกเป็น FAT32 นะครับ เรียบร้อยแล้วกด OK เลยครับ


8.           จะกลับมาที่หน้าจอหลัก ให้กด Apply เพื่อยืนยันและให้โปรแกรมทำการสร้าง Partition ตามที่เรากำหนดไว้เลยครับ


    9.            จะมีการถามย้ำอีกครั้ง ให้กด Yes 


10.             รอโปรแกรมดำเนินการจนเสร็จสิ้น เพียงเท่านี้เราก็จะได้ไดรฟ์ใหม่ที่เป็น FAT32 ไว้ใช้ฟังเพลงในน้อง Jazz กันแล้ว ให้ก็อปปี้เพลงหรือหนังที่ต้องการใส่ไว้ในไดรฟ์ดังกล่าวเพื่อใช้กับน้อง Jazz ได้เลย เวลาเราเอา External HDD ไปเสียบกับ Jazz มันจะมองเห็นแค่ไดรฟ์นี้ไดรฟ์เดียว ส่วนข้อมูลเดิมที่มีก็ยังอยู่ครบนะครับไม่ต้องกังวลเพียงแต่อีกไดรฟ์ที่เป็น NTFS มันจะมองไม่เห็นเท่านั้นเองครับ มีข้อสงสัยประการใด สอบถามได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ

  ปล.ในความเป็นจริงแล้วแนะนำให้ใช้แฟลชไดรฟ์ในการเก็บเพลงเพื่อฟังในรถมากกว่าการใช้ External HDD นะครับ  เนื่องจากว่าเมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบกระทบกระเทือน(กรณีทางไม่เรียบ)มากๆ อาจจะส่งผลเสียต่อหัวอ่าน/เขียนของ HDD ได้ แต่ถ้าใครยังยืนยันมั่นใจที่จะใช้ก็ไม่ขัดศรัทธากันครับ เพราะโดยหลักการแล้วปัจจุบันบริษัทที่ผลิต HDD มักมีการโฆษณาว่ามันสามารถรับแรงสะเทือนได้พอสมควรเหมือนกัน ยังไงใครอยากรู้ก็ต้องลองพิสูจน์กันดูว่าจริงสมดังคำโฆษณาหรือไม่ครับ




Sunday, September 7, 2014

วิธีปิดไฟห้องสัมภาระของน้องแจ๊ส

ปิดไฟห้องสัมภาระของน้องแจ๊ส

               เพื่อนๆคงเคยมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดท้ายน้องแจ๊สทิ้งไว้ กันมาบ้างแล้วนะคะ เหมือนวันนี้ที่แอดมินอยากจะระบายกลิ่นรถใหม่ออกไปบ้างเพราะเวียนหัวมากค่ะ ก็เลยตัดสินใจเอาไปจอดตากแดดอ่อนๆแล้วเปิดทุกช่องทางที่ลมสามารถพัดผ่านได้ทั้งประตูทั้งท้ายรถ แต่ติดตรงที่ว่าน้องแจ๊สแล้วเค้ามีไฟส่องห้องสัมภาระให้เรานี่สิคะ พอเปิดปุ๊บเค้าก็ติดให้ปั๊บโดยไม่ได้สนใจหรอกค่ะว่ามันกลางวันหรือกลางคืน


               แรกๆก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะนั่งรอเวลาอย่างเดียว แต่พอคิดไปคิดมาก็เริ่มหวั่นใจค่ะว่าในเมื่อไฟดวงนั้นมันติดอยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าเราเปิดทิ้งไว้นานๆๆๆๆไฟรถเราจะหมดมั้ยเนี่ย ถ้ากลิ่นในรถหายแต่สตาร์ทไม่ติดมันก็คงไม่ดีมั้งคะ ลองพยายามพลิกคู่มือหาวิธีที่จะปิดเจ้าไฟดวงนั้นก็หาไม่เจอ ลองปรึกษาเจ้าพ่อคู่มือน้องแจ๊ส(แอดมิน ตาแป๊ะ อุลตร้า) เค้าก็บอกว่าในคู่มือไม่มีบอกไว้แต่คาดน่าจะมีปุ่มอะไรสักปุ่ม(ละมั้ง)ลองหาดูสิ เพราะเค้าอยู่ข้างนอกยังไม่สะดวกเปิดท้ายรถช่วยหา แอดมินเลยต้องใช้ความสามั่วส่วนบุคคลในการค้าหาปุ่มลึกลับที่แอดมินตาแป๊ะชี้เบาะแสไว้ โดยชวนพี่ชายมาช่วยหาด้วยอีกคน เพราะจะให้สาวสวยและบอบบางอย่างเราก้มๆเงยๆหาอยู่คนเดียวคงไม่ไหวแน่ จนในที่สุดก็พบวิธีปิดไฟ ถึงแม้จะไม่เป็นปุ่มตรงเป๊ะเหมือนแอดมินตาแป๊ะว่าไว้ แต่ก็ใกล้เคียงค่ะพอให้อภัยได้เพราะเข้าใจว่ามันไม่มีอยู่ในคู่มือที่เค้าถนัด อิอิ

           วิธีการก็คือหลังจากเปิดท้ายแล้วเพื่อนๆต้องไปดึงฝาท้ายลงมาอีกที แต่ไม่ใช่ดึงมาปิดนะคะไม่งั้นเราจะมาหาวิธีปิดไฟดวงนั้นกันทำไมใช่มั้ยคะ แต่ดึงลงมาเพื่อที่จะจัดการกับเจ้าตัวสี่เหลี่ยมในภาพนี้ล่ะค่ะ แอดมินก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเค้าเรียกว่าอะไร ใครรู้บอกแอดมินด้วยก็ดีนะคะ


          จะเห็นว่าตรงกลางที่เป็นร่องมันจะมีเหล็กสีดำๆอยู่ ซึ่งเจ้าตัวนี้ล่ะค่ะที่จะบอกน้องแจ๊สว่าเราปิดท้ายรถแล้วนะปิดไฟด้วยนะจ๊ะ วิธีการก็คือให้เราเอานิ้วไปเขี่ยๆตรงเจ้าเหล็กดำๆนี่ล่ะ ดันมันลงมานิดนึงแล้วดันไปทางขวาจนดังกิ๊กไฟมันก็ดับแล้วค่ะ คือเราจำลองเหมือนตอนปิดฝาท้ายแล้วเจ้าเหล็กสีดำมันไปล็อคกับตัวห่วงเหล็กด้านล่างตรงท้ายรถน่ะ(ลืมถ่ายมาเจ้าค่ะ)


               อ๊ะๆอย่าเพิ่งสงสัยนะคะว่าทำไมนิ้วแอดมินดูไม่เรียวสวยเหมือนใบหน้าเลย อันนี้นิ้วพี่ชายเจ้าค่ะ แหมตรงนั้นมันมีอะไรดำๆลื่นๆอยู่ด้วยเห็นพี่ชายเรียกว่าจารบีมั้งคะ เลยยืมนิ้วพี่ชายมาใช้งานซะเลย แอดมินถ่ายรูปให้พอละ

                                 

                  มันก็จะเป็นหน้าตาประมาณนี้ค่ะ แต่เวลาเราจะปิดฝาท้ายนี่อย่าลืมตัวรีบปิดลงมานะคะ เพราะมันปิดไม่ได้ค่ะ ไอ้เหล็กดำๆเนี่ยมันจะไปติดกับเหล็กที่เป็นห่วงๆตรงท้ายรถ(เรียกชื่อไม่ถูกสักอัน)ค่ะ ปิดแรงๆอาจจะมีอาการเหล็กบิ่นได้นะคะ เหมือนแม่กุญแจที่เรากดกึ๊กลงไปแล้วน่ะค่ะจะเอาอะไรใส่เข้าไปในห่วงตรงนั้นก็ไม่ได้ละ ถ้าจะใส่เราก็ต้องไขกุญแจให้มันเปิดช่องออกมาก่อนถึงจะลอดเข้าไปได้(ยกตัวอย่างได้งงมั้ยคะ)


           วิธีปลดล็อคก็กดปุ่มด้านหลังเหมือนตอนที่เราจะเปิดท้ายนั่นล่ะค่ะ เพราะตอนนี้มันเสมือนมันปิดอยู่(หลอกให้น้องแจ๊สปิดไฟ) เมื่อดังกิ๊กสังเกตดูจะเห็นว่าเจ้าเหล็กดำๆนั่นกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม และไฟในน้องแจ๊สเรากลับมาติดอีกครั้ง คราวนี้เราก็สามารถปิดท้ายได้ตามปกติเลยค่ะ

           ถ้าอธิบายผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยนะคะ มือใหม่หัดขับ+เขียนค่ะ สามารถติชมได้ที่หน้ากลุ่มตามที่อยู่ข้างล่างเลยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

                                แอดมิน ป๊อปเปอร์ สุดหล่อ







Saturday, August 30, 2014

HDD External ไว้ฟังเพลงใน JAZZ 2014

                สืบเนื่องมาจากได้อ่านคำถามของเพื่อนๆเรื่องเอา HDD External ไปเสียบเพื่อจะฟังเพลงใน Jazz แล้วมองไม่เห็น HDD ด้วยความที่เป็นคน IT เลยคันไม้คันมืออยากจะเขียนบทความสักบทเพื่อแนะนำวิธีการ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับอีกหลายๆคน
                  
               ก่อนอื่นเรามาดูปัญหาที่น้อง Jazz ไม่พบ HDD ของเรากันก่อน สำหรับสาเหตุนั้นข้อแรกผมคาดว่า(เพราะขณะเขียนบทความนี้ รถไม่ได้อยู่กับตัวเลยยังไม่ได้ทดลอง) อาจจะเกิดจากปัญหาไฟที่จ่ายผ่าน USB ไม่เพียงพอ เพราะ HDD นั้นจะกินไฟมากกว่าพวก Flash Drive อยู่พอสมควรเนื่องจากต้องใช้มอเตอร์ในการหมุนจานข้อมูล ดังนั้นถ้าติดปัญหานี้ก็คงจะต้องใช้สาย USB ที่มี 2 หัวหรือที่เรียกกันว่าสาย Y นั่นล่ะครับ หาซื้อได้ตามร้านค้า IT ทั่วๆ เวลาใช้ก็เสียบเข้ากับ USB ในรถ 2 สายไปเลยจะได้ตัดปัญหาไฟไม่พอ


           สาเหตุที่ 2 ก็คือปัญหาของรูปแบบ Partition ครับ ถ้าใครเจอปัญหาแนะนำว่าให้ลองแก้ด้วยวิธีนี้ก่อน ถ้าไม่หายก็อาจจะเป็นไฟไม่พอ ต้องเสียเงินซื้อสาย Y ละครับ

            เนื่องจากว่าเจ้าเครื่องเสียงของ Jazz  นั้นไม่รองรับ Partition ที่เป็นแบบ NTFS  ดังนั้นดิสก์ที่นำมาใช้กับมันนั้นจะต้องเป็นรูปแบบ FAT32 เท่านั้น ซึ่งในกรณีของแฟลชไดรฟ์นั้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเรามักจะ Format เป็นแบบ FAT32 กันอยู่แล้ว

            แต่สำหรับเจ้า External HDD ในปัจจุบันนั้นมันมีขนาดใหญ่(เกิน 32 GB) ที่ FAT32 อนุญาต ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการ Format เป็นแบบ NTFS กัน(เพราะ Format เป็น FAT32 ไม่ได้ตามข้อจำกัดข้างต้น) วิธีการแก้ปัญหานี้คือเราจะต้องแบ่ง HDD External ของเราออกมาเป็นไดรฟ์เล็กๆ(ไม่เกิน 32 GB)ในรูปแบบ FAT32 เพื่อให้น้อง Jazz มองเห็นครับ สำหรับคนที่มีข้อมูลอื่นๆเก็บอยู่ใน External HDD ก็ไม่ต้องกังวลใจไปครับ รับรองว่าข้อมูลเก่าที่มีอยู่ไม่หายแน่นอนครับ ลองมาดูขั้นตอนกันเลย

1.            โหลดโปรแกรมจาก http://www.easeus.com/download/epmf-download.html (เป็นของฟรีครับ)แล้วติดตั้งให้เรียบร้อย



มีเทคนิคในการติดตั้งเพื่อเลี่ยงโฆษณาและของแถม(ไม่มีอันตราย)นิดหน่อยครับ ก็ของฟรีนี่นา ผมไม่อธิบายนะครับให้ตั้งค่าตามภาพเอาเลย


เอาเครื่องหมายถูกออกแล้ว Next

กด Next ไปเลยครับไม่ต้องกรอกข้อมูลใดๆ

2.            เสียบเจ้า External HDD ของเราเข้าเครื่องแล้วเปิดโปรแกรม => เลือกตามภาพ


3.             ตามตัวอย่างผมใช้ HDD ที่มีขนาด 80 GB ที่ Format ไว้เป็น NTFS(เพราะตามที่บอกว่ามันเกิน 32 GB จะไม่สามารถ Format เป็น FAT32 ได้) ให้คลิกขวาที่ External HDD ของเรา แล้วเลือก Resize/Move partition 




4.               เลื่อนไปตรงปุ่มกลมๆ(ในวงกลมสีแดง) กดปุ่มซ้ายของเมาส์ค้างไว้แล้วเลื่อนไปทางซ้ายตามขนาดที่ต้องการ หรือจะใส่ตัวเลขในช่องข้างล่างเอาก็ตามสะดวก แต่ห้ามให้ส่วนของ Unallocated นั้นเกิน 32 GB นะครับไม่งั้นมันจะ Format เป็น FAT32 ไม่ได้ ตามตัวอย่างผมแบ่งแบบเอาชัวร์ๆไว้ที่ 30.67 GB แล้วกด OK ครับ


5.            จะเห็นว่าตอนนี้ HDD ของเราแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามที่ต้องการแล้ว


6.            คลิกขวาตรงส่วนของ Unallocated แล้วเลือก Create partition ครับ


7.               ทำการตั้งชื่อไดรฟ์ใหม่ในส่วนของ Partition Label ตามใจชอบเลยครับ จุดที่สำคัญคือในส่วนของ File System นั้นให้เลือกเป็น FAT32 นะครับ เรียบร้อยแล้วกด OK เลยครับ


8.           จะกลับมาที่หน้าจอหลัก ให้กด Apply เพื่อยืนยันและให้โปรแกรมทำการสร้าง Partition ตามที่เรากำหนดไว้เลยครับ


    9.            จะมีการถามย้ำอีกครั้ง ให้กด Yes 


10.             รอโปรแกรมดำเนินการจนเสร็จสิ้น เพียงเท่านี้เราก็จะได้ไดรฟ์ใหม่ที่เป็น FAT32 ไว้ใช้ฟังเพลงในน้อง Jazz กันแล้ว ให้ก็อปปี้เพลงหรือหนังที่ต้องการใส่ไว้ในไดรฟ์ดังกล่าวเพื่อใช้กับน้อง Jazz ได้เลย เวลาเราเอา External HDD ไปเสียบกับ Jazz มันจะมองเห็นแค่ไดรฟ์นี้ไดรฟ์เดียว ส่วนข้อมูลเดิมที่มีก็ยังอยู่ครบนะครับไม่ต้องกังวลเพียงแต่อีกไดรฟ์ที่เป็น NTFS มันจะมองไม่เห็นเท่านั้นเองครับ มีข้อสงสัยประการใด สอบถามได้ตามลิงค์ด้านล่างครับ

  ปล.ในความเป็นจริงแล้วแนะนำให้ใช้แฟลชไดรฟ์ในการเก็บเพลงเพื่อฟังในรถมากกว่าการใช้ External HDD นะครับ  เนื่องจากว่าเมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบกระทบกระเทือน(กรณีทางไม่เรียบ)มากๆ อาจจะส่งผลเสียต่อหัวอ่าน/เขียนของ HDD ได้ แต่ถ้าใครยังยืนยันมั่นใจที่จะใช้ก็ไม่ขัดศรัทธากันครับ เพราะโดยหลักการแล้วปัจจุบันบริษัทที่ผลิต HDD มักมีการโฆษณาว่ามันสามารถรับแรงสะเทือนได้พอสมควรเหมือนกัน ยังไงใครอยากรู้ก็ต้องลองพิสูจน์กันดูว่าจริงสมดังคำโฆษณาหรือไม่ครับ





โทรออกด้วยเสียงจากโทรศัพท์ระบบ Android บน Jazz 2014

โทรออกด้วยเสียงจากโทรศัพท์ระบบ Android บน Jazz 2014

                 เนื่องจากต้นฉบับที่เป็นไฟล์ Word หายไป(จะแปลงกลับก็ลำบาก) เลยขออนุญาตโพสเป็น PDF แทนนะครับ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกครับ


โทรออกด้วยเสียง Android.pdf

Friday, August 29, 2014

กล้องมองหลัง Jazz 2014 เห็นป้ายทะเบียน?

กล้องมองหลัง Jazz 2014 เห็นป้ายทะเบียน?
                   หลังจากพยายามไล่ตอบปัญหาเรื่องของกล้องมองหลังของน้องแจ๊สว่าตกลงมันจะต้องมองเห็นป้ายทะเบียนหรือไม่เห็นกันแน่ แต่สุดท้ายพอจบไปกระทู้นึงก็จะมีคนมาถามกันเหมือนเดิม(อีกละ)เพราะกระทู้เดิมมันตกไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้  ไอ้ครั้นจะไปก็อบข้อความเดิมที่เคยตอบมาตอบซ้ำก็หาไม่เจอซะอีกเพราะกระทู้มันร่วงลงไปเกือบสุดขอบเขตประเทศสยามแล้ว เลยเกิดความคิดว่าน่าจะทำเป็นบทความสั้นๆไว้สักบทความเพื่อสะดวกในการอ้างอิงเวลาตอบไม่ต้องมาไล่ก็อบปี้คำตอบเก่าๆให้วุ่นวาย



         สำหรับคำถามว่าจริงๆแล้วมันควรจะมองเห็นป้ายทะเบียนหรือไม่นั้น ผมขออนุญาตอ้างอิงจากคู่มือผู้ใช้รถ(หน้าที่ 276) นะครับ ตามภาพจะเห็นว่ามีการระบุขอบของกันชนไว้อย่างชัดเจน และในส่วนของสีเหลืองๆตามภาพนั้นเป็นตำแหน่งโดยประมาณที่ผมคิดว่ามันควรจะต้องเห็นขอบป้ายทะเบียน(ก็ป้ายมันติดอยู่ตรงนั้นนี่นา ไม่เห็นก็แปลกละ) ดังนั้นขอสรุปแบบฟันธงตรงนี้เลยว่าถ้าอ้างอิงตามคู่มือซึ่งระบุ(ด้วยภาพ)ว่าจะต้องเห็นขอบกันชน ดังนั้นการเห็นป้ายทะเบียนถือเป็นเรื่องปกติ มิใช่ความผิดพลาดในการปิดฝากระโปรงหลังแรงจนกล้องเคลื่อนแต่อย่างใดครับ


          แต่ถ้าใครยังไม่สบายใจหรือคำพูดผมยังไม่น่าเชื่อถือล่ะก็ ขออนุญาตอ้างอิงแบบอินเตอร์เนชั่นแนลหน่อยแล้วกัน ลองดูตามคลิปด้านล่างซึ่งเป็นคลิปรีวิวน้องแจ๊ส(ของเมืองนอกเค้าจะเรียกว่า FIT 2015) นะครับ ในนาทีที่ 3.29 จะได้ยินคำว่า "My Bumper" ชัดเจน ครับ



         นั่นก็คงเป็นการยืนยันได้แล้วว่าโดยเจตนาในการออกแบบนั้นเค้าทำมาให้มันมองเห็นกันชนครับ เพราะถ้าเกิดจากความผิดพลาดเค้าคงไม่เอามารีวิวให้ดูหรอกครับ
        ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้าวันนึงเรามีความจำเป็นที่จะต้องถอยหลังเพื่อชิดผนังมากๆแล้วกล้องมองไม่เห็นกันชนมันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเราต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งของกล้องนั้นมันอยู่ในลึกเข้ามาจากแนวของกันชน ดังนั้นถ้าเราดูแค่เส้นแสดงระยะโดยประมาณจากกล้อง กว่าที่มันจะมาถึงตำแหน่งของกล้องนั้น เจ้ากันชนเราสัมผัสกับฝาผนังไปก่อนแล้วครับ เค้าถึงได้ออกแบบมาเพื่อให้เห็นว่ากันชนของเรามันใกล้จะจ๊ะเอ๋กับฝาผนังหรือยัง แนะนำว่าควรใช้มุมมองจากบนลงล่างจะเห็นได้ชัดและชัวร์สุด 



        ดังนั้นเมื่อเห็นกันชนก็ย่อมเป็นปกติที่จะต้องเห็นขอบป้ายทะเบียนด้วย ยกเว้นว่าเราเอาป้ายทะเบียนไปติดไว้ตรงตำแหน่งอื่นเท่านั้นเองครับฟันธง

ปล.ขออนุญาตเจ้าของภาพที่นำมาประกอบบทความทุกๆท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

    ******* เพิ่มเติม 31/8/57  ********

          พอดีเพิ่งได้เห็นประโยคนึงในคู่มือซึ่งน่าสนใจดีเลยขอนำมาใส่ไว้ในนี้ด้วยตามประสาจ้าวแห่งคู่มือครับ


          อ่านจากคู่มือ(ในภาพ)ก็คงพอจะเข้าใจแล้วว่าถ้ามันไม่ติดข้อจำกัดของมุมกล้อง จริงๆแล้วทางผู้ผลิตต้องการที่จะให้สามารถมองเห็นมุมขอบของกันชนทั้ง 2 ด้าน รวมถึงใต้กันชนซะด้วยซ้ำไป เพราะตามที่ผมได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้ในกรณีที่จำเป็นต้องถอยชิดผนังหรือวัตถุอื่นใดมากๆนั่นเองครับ




Thursday, August 28, 2014

การเชื่อมต่อมือถือกับเครื่องเสียงใน Jazz

การเชื่อมต่อมือถือกับเครื่องเสียงใน Jazz

                      ก่อนอื่นต้องขอออกตัว(อีกแล้ว)ไว้ก่อนเลยว่าบทความนี้อาจจะออกแนวแห้งๆหน่อยเพราะเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของทฤษฏีที่ผมพยายาม
ศึกษาจากหลายๆแหล่งแล้วมาเขียนสรุป ไม่ได้ผ่านการทดสอบด้วยตัวเอง เนื่องจากผมเองใช้โทรศัพท์Lenovo S820 ซึ่งเป็น Android แถมไม่รองรับการต่อ
ออกพอร์ต HDMI(ไม่มีพอร์ต MHL) ครับ ดังนั้นบทความนี้ถือว่าใช้จินตนาการที่อ้างอิงทฤษฎีล้วนๆเลย ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยและแย้งมาได้เลยครับ 
อีกอย่างคือผมจะไม่ลงในรายละเอียดของศัพท์เทคนิคบางคำเนื่องจากจะทำให้บทความยาวจนไม่น่าอ่าน แต่จะทำเป็นลิงค์อ้างอิงไปยังเว็บอื่นๆเพื่อให้สามารถ
ศึกษาเพิ่มเติมกันได้นะครับ
1. การเชื่อมต่อแบบไร้สาย
-การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth

          อันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนะครับทุกคนคงเคยใช้และรู้จักกันดีแล้ว อย่างน้อยๆก็ใช้โทรออกตามที่ผมเคยแนะนำไว้ในบทความเก่า
เรื่องการโทรออกด้วยเสียง ข้อดีของมันที่เห็นชัดๆก็คือไม่จำเป็นต้องใช้สายให้เกะกะระโยงระยาง แต่ข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ มันไม่สามารถ
ส่งสัญญาณภาพพร้อมเสียง(เช่นดูหนังจากมือถือ)ได้เนื่องด้วยข้อจำกัดของอัตราการส่งข้อมูลที่มีไม่สูงมากนัก(ถึงแม้ว่าในมาตรฐาน Ver. ใหม่ของตัว
Bluetooth จะสามารถทำความเร็วได้เพียงพอที่จะดูหนังความละเอียดไม่สูงมากได้แล้วถ้าเทียบกับ Ver. เก่าๆ แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของรูปแบบ
การเชื่อมต่ออื่นๆซึ่งจะพูดในหัวข้อหลังๆก็ถือว่ายังต่ำเกินไป โดยเฉพาะการดูหนังที่มีความละเอียดสูง ซึ่งเรียกได้ว่ากลายเป็นมาตรฐานของหนังใน
ปัจจุบันไปแล้ว)
            ดังนั้นถ้าเราใช้วิธีการเชื่อมต่อแบบนี้จึงทำได้แค่ส่งข้อมูลเสียงเพียงอย่างเดียว(ใช้โทรเข้า/ออก หรือฟังเพลงจากโทรศัพท์)แต่จริงๆแล้วมันยังมี
การเชื่อมต่อไร้สายอีกแบบที่สามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงไปพร้อมๆกันได้ แต่ตอนนี้(อนาคตไม่แน่)มันยังไม่สามารถใช้กับเครื่องเสียงน้องแจ๊สเราได้ 
ดังนั้นผมขอรวบไปพูดตอนท้ายๆทีเดียวเลยแล้วกันครับ

2.การเชื่อมต่อแบบใช้สาย

            
-การเชื่อมต่อผ่านพอร์ต HDMI(High-Definition Multimedia Interface) ของเครื่องเสียง


               ถ้าดูภาพที่ผมทำแล้วไม่เข้าใจ(พยายามที่สุดแล้วได้แค่นี้จริงๆ) ก็ลองดูตัวอย่างจากของ City แทนนะครับน่าจะเข้าใจง่ายกว่า เพราะเครื่องเสียงตัวเดียวกัน ขออนุญาตเจ้าของคลิปไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

เล่นวิดีโอจากสมาร์ทโฟนผ่านสาย HDMI ไปออกที่เครื่องเล่น 7นิ้ว City 2014


รีวิว วิธีการใช้สาย HDMI ต่อเข้าสมาทโฟนไปออกที่เครื่องเล่น 7นิ้ว

วิธีการต่อสาย HDMI ของมือถือ Android

วิธีการต่อสาย HDMI ของ Iphone/Ipad

                  ข้อดีของรูปแบบนี้คือสามารถส่งทั้งภาพและเสียงไปแสดงได้พร้อมๆกันเนื่องจากความเร็วในการส่งข้อมูลสูงกว่าทุกๆวิธีในปัจจุบัน สังเกตจากชื่อมันก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่าออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ(ส่งข้อมูลภาพและเสียงความละเอียดสูง) ดังนั้นการเชื่อมต่อด้วยวิธีนี้ถือว่าดีที่สุด(ในปัจจุบัน)ครับ ส่วนข้อเสียก็อย่างที่เห็นล่ะครับว่าต้องต่อสายกันระโยงระยางทีเดียว ถึงจะแค่ 2 เส้นก็เถอะแต่พอมันไปกองๆรวมกันแถวๆข้างๆเกียร์(ในความรู้สึกส่วนตัว)ผมว่ามันค่อนข้างเกะกะ นี่ยังไม่รวมถึงกรณีมีการต่อกล้องติดรถยนต์ซึ่งต้องเดินสายมาเสียบกับที่จุดบุหรี่อีกยิ่งรกกันไปใหญ่ (จะบ่นไปทำไมหว่า เราไม่ได้ใช้อะไรสักอย่าง 55) แต่ทำไงได้ในเมื่อมันเป็นทางเลือกเดียวที่ทำได้ในปัจจุบันนี่นา

                     อ้อข้อเสียอีกอย่างคือเจ้ามือถือของเรามันไม่เป็นอิสระเพราะต้องเสียบอยู่กับสาย ไอ้ครั้นจะหยิบมาเล่นโน่นเล่นนี่เผื่อได้เป็นนายแบบจำเป็นให้จ่าถ่ายรูปข้อหาใช้มือถือขณะขับรถก็คงลำบากถ้าสายมันสั้นไป แต่ถ้าสายยาวก็เกะกะอีก(จินตนาการสูงจริงๆเรา เขียนยังกะเจอปัญหาเองทั้งๆที่ไม่เคยใช้) เดี๋ยวไปดูวิธีแก้ปัญหานี้ในข้อต่อไปครับ
   3.การเชื่อมต่อแบบลูกครึ่ง                    การเชื่อมต่อแบบนี้ก็ตามชื่อที่ผมเรียกล่ะครับ คือมันใช้สายครึ่งนึงไม่ใช้อีกครึ่งนึง ลองดูตามภาพประกอบนะครับ
                   นั่นคือระหว่างมือถือกับเครื่องเสียงของเราจะมีตัวกลางเข้ามาคั่น ซึ่งเจ้าตัวที่เข้ามาคั่นนั้นเค้าเรียกกันว่า Dongle ซึ่งหน้าที่ของเจ้าตัวกลางนี้คือทำการรับข้อมูล(ภาพและเสียง)จากมือถือของเราแล้วส่งไปยังจอแสดงผล(ในที่นี้คือจอเครื่องเสียง) ผ่าน Port HDMI เหมือนวิธีการที่แล้ว เพียงแต่ความแตกต่างคือมือถือของเราไม่จำเป็นต้องต่อด้วยสายเหมือนวิธีที่แล้ว เพราะการส่งข้อมูลระหว่างมือถือกับ Dongle นั้นจะใช้ผ่านช่องทาง WiFi แทนการใช้สาย ทำให้มือถือของเราเป็นอิสระมากขึ้น(หยิบมาเล่นให้โดนจ่าถ่ายรูปได้ละ) และยังถือว่าเป็นการลดสายไปได้เส้นนึงเพราะเจ้า Dongle นั้นเสียบเข้ากับ Port HDMI ได้ตรงๆ(เหมือนเสียบแฟลชไดรฟ์ในช่อง USB)เลย 

                    เพื่อความเข้าใจมากขึ้นลองชมคลิปด้านล่างนี้ โดยให้ถือว่าจอเครื่องเสียงของเราก็คือจอ TV ในคลิปนั่นล่ะครับ ใครฟังรู้เรื่องก็ฟังดูนะครับ ผมฟังไม่ออกก็อาศัยดูภาพเอา แต่ที่ตัดสินใจเอาคลิปนี้มาเพราะมันจะมีการเปรียบเทียบ 2 รูปแบบ(ใช้สายกับแบบลูกครึ่งตามที่ผมกำลังอธิบายพอดีเลย)
           ด้วยวิธีการต่อแบบลูกครึ่งนั้น ถึงแม้ว่าเราจะได้อิสระมาครึ่งนึงแล้ว(มือถือไม่ต้องมีสายพันธนาการละ) แต่ก็จะเห็นในคลิปว่า Dongle บางรุ่นยังคงต้องใช้สาย HDMI คู่กับสาย USB นะครับ เพราะการออกแบบมาอาจจะไม่ได้หน้าตาแบบแฟลชไดรฟ์ ทำให้เสียบตรงๆลำบาก ซึ่งย่อมหมายถึงว่ามันไม่ได้ตอบคำถามในการแก้ปัญหาสายระเกะระกะเหมือนเดิม แต่ก็พอมีวิธีการแก้ปัญหาแบบศรีธนญชัยอยู่ครับ ในเมื่อสายอยู่ข้างหน้ามันเกะกะเราก็เอามันไปยัดไว้ด้านหลัง(ในแผงคอนโซล)ซะเลยสิจะได้ไม่เกะกะรกหูรกตา         สำหรับวิธีแบบศรีธนญชัยนั้นจำเป็นจะต้องสั่งจากเมืองนอก(มาเลเซีย)นะครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลดูในเมืองไทยยังไม่พบว่ามีขาย(หรือมีแต่ผมหาไม่เจอ) ราคาเท่าที่สอบถามก็ประมาณ 5800 บาทครับ ไม่ได้มาโฆษณาขายนะครับใครสนใจก็ติดต่อกันเอาเอง ผมถามราคาเพื่อมาใส่ในบทความเท่านั้นเอง
ลองดูอุปกรณ์ในชุดติดตั้งและคลิปการทำงานของมันนะครับ

           จะเห็นได้ว่าการทำงานของมันก็ไม่ต่างกับแบบลูกครึ่งที่เราได้เห็นกันไปแล้ว นั่นคือรับสัญญาณภาพและเสียงจากมือถือผ่าน WI-FI แล้วส่งต่อออกหน้าจอเครื่องเสียงผ่าน HDMI เหมือนเดิมเพียงแต่ทุกอย่างมันเสียบไว้ข้างหลัง(ในคอนโซล) ทำให้ดูแล้วไม่รกรุงรัง และข้อดีของมันคือมีหัวต่อที่เป็น OEM Socket ทำให้ไม่ต้องตัดต่อสายไฟให้วุ่นวายสามารถเสียบแทนของเดิมได้เลย ส่วนประกันจะขาดรึปล่าวอันนี้ผมไม่รับรองนะครับ
        ส่วนจุดขายอีกอันที่น่าสนใจคือเราจะเห็นว่ามีตัวที่เขียนว่า TV Free/Video In Motion ซึ่งก็คือทำให้สามารถดูภาพหน้าจอขณะรถเคลื่อนที่ได้ ตามที่มีหลายคนโพสวิธีการตัดสายสัญญาณของเบรคมือมาลงกราวน์เพื่อปลดล็อคนั่นล่ะครับ แต่อันนี้เค้าทำเป็น Socket สำเร็จรูปมาเลย อ้อมี Port USB พิเศษแยกจากตัวเครื่องเสียงรถมาอีกตัวซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเสียบตรงนี้จะสามารถดูหนังนามสกุล .RMVB ได้ด้วย เพราะตัวเครื่องเสียงเองนั้นเข้าใจว่ารับเฉพาะไฟล์ .MP4 ครับ รายละเอียดอื่นๆก็ลองหาอ่านกันดูครับเดี๋ยวกลายเป็นว่าผมมาโฆษณาขายให้เค้าซะ 555
           เบื้องหลังการทำงานแบบลูกครึ่ง
                  ในหัวข้อนี้เราจะมาดูเบื้องหลังการทำงานแบบลูกครึ่งกันนะครับ เพื่อเป็นการปูทางก่อนเข้าสู่วิธีการเชื่อมต่อรุปแบบสุดท้าย ลองดูคลิปนี้กันก่อนนะครับจะได้เห็นภาพชัดขึ้น(ฟังเข้าใจด้วยดีกว่าคลิปที่แล้วโน่น) เหมือนเดิมครับให้จินตนาการเอาว่า TV ก็คือเจ้าเครื่องเสียงของเรา
        จะเห็นว่าโดยหลักการคือมือถือของเราติดต่อกับเจ้า Dongle ผ่านช่องทาง WI-FI ซึ่งเรียกหลักการนี้ว่า Wi-Fi-Direct(กดที่นี่เพื่อดูรายละเอียด) ซึ่งก็ตามชื่อล่ะครับมันคือ Wi-Fi ที่มีการเชื่อมต่อกันโดยตรง หมายถึงว่าไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่าง Router หรืออื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนการนำหน้าจอมือถือไปแสดงยังจอภาพภายนอก(ทีวีหรืออื่นๆ) จะเรียกกันว่า Miracast ครับ
                ส่วนคนที่ใช้ไอโฟน/ไอแพด คงเคยได้ยินคำว่า AirPlay กันมาแล้ว ซึ่งเจ้า AirPlay ที่ว่านี้จะต่างกับเจ้า Wi-Fi-Direct ตรงที่ว่าอุปกรณ์ 2 ตัวที่จะเชื่อมต่อกันนั้นจะต้องอยู่ภายในวง Network เดียวกัน(ตามลิงค์ตรงคำว่า AirPlay นั่นล่ะครับ) ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องมี Router หรืออื่นๆเป็นตัวกลางเพื่อให้เจ้าอุปกรณ์ 2 ตัวอยู่ในวงเดียวกันมันถึงจะหากันเจอและติดต่อกันได้
               จริงๆแล้วทาง Apple บอกไว้ว่าจะต้องเป็นอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้นจึงจะสามารถใช้วิธีการนี้ได้ แต่จริงๆแล้วแอนดรอยด์อย่างเราๆก็สามารถนำไปแสดงผลบนอุปกรณ์ Apple ได้เหมือนกัน ใครสนใจก็ลองค้นหากันดูนะครับขอไม่อธิบายเดี๋ยวจะยืดยาวไป
                  เรามาดูคลิปการทำงานของอุปกรณ์(ทีวี)รุ่นใหม่ๆที่รองรับเจ้า Wi-Fi-Direct กันครับว่ามันทำงานยังไง
               จะเห็นว่าความต่างของเจ้า Wi-Fi-Direct กับ Airplay คือเราไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายกับการกำนหนด IP ให้อยู่ในวงเดียวกันมันก็หากันเจอเองเลย (แว่วๆมาว่าทาง Apple จะใส่การทำงานแบบ Wi-Fi-Direct เข้ามาใน IOS 8 ที่กำลังจะออกเร็วๆนี้ http://www.cultofmac.com/282209/airplay-longer-requires-wi-fi-network-ios-8/ )  ซึ่งจะว่าไปแล้วเจ้าทีวีรุ่นใหม่ๆนี้ก็เปรียบเสมือนจับเจ้า Dongle ยุบรวมเข้ามาในตัวเลยนั่นเอง ทำให้เมื่อแสดงผลก็แสดงตรงได้เลยไม่จำเป็นต้องผ่าน HDMI อีกเพราะมันมีจอของตัวเองอยู่แล้วนั่นเอง ไม่งงนะครับ(เหมือนอธิบายวกวนยังไงไม่รู้ 555)
   4.การเชื่อมต่อแบบที่คาด(หวัง)ว่าจะมี
               ตามภาพเลยครับ สิ่งที่คาด(หวัง)ว่าเจ้าเครื่องเสียงในน้องแจ๊สของเราจะทำได้ เนื่องจากถ้าเราลองกดๆเครื่องเสียงดูจะพบว่ามันมีเมนูในการเปิดปิด Wi-Fi อยู่ด้วย ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้มือถือคู่ชีพ(ซึ่งทำอะไรแทบไม่ค่อยได้) ตั้งตัวเองเป็น Hotspot ดูก็พบว่าเจ้าเครื่องเสียงมันสามารถที่จะมาเกาะกับเจ้ามือถือของผม(ได้รับ IP) ภาพอาจจะมืดๆหน่อยนะครับเพิ่งถ่ายสดๆเมื่อสักครู่นี่เอง

             นั่นหมายถึงว่าถ้าตามหลักการแล้วอย่างน้อยๆมันควรจะรองรับการทำงานแบบ Airplay(ก็มันของ Apple นี่นา) แต่เท่าที่เคยลองโดยการใช้มือถืออีกเครื่องตั้งเป็น Hotspot แล้วใช้เจ้า Lenovo + เครื่องเสียงน้องแจ๊สเข้าไปเกาะมือถือเครื่องแรก(เพื่อให้อยู่ในวง Wi-Fi เดียวกัน) แล้วเปิดโปรแกรม(ของ Android)ซึ่งเค้าบอกว่ามันสามารถเชื่อมต่อแบบ Airplay ได้(แต่ยังไม่เคยลองกับของ Apple จริงๆนะครับเพราะไม่มี เคยแต่ลองเชื่อมกับเจ้ากล่อง Android-TV ที่มีอยู่มันสามารถเปิดหนัง+ภาพขึ้นไปแสดงบนจอทีวีได้)

                 ผลปรากฏว่าโปรแกรมมันหาจอน้องแจ๊สเราไม่เจอครับ ดังนั้นใครที่ใช้ไอโฟนอาจจะใช้วิธีการทดสอบแบบผมดูว่าถ้าเป็นมือถือไอโฟนเองมันจะสามารถหาเจอหรือไม่ ส่วนเรื่องของ Miracast บน Wi-Fi-Direct นี่แทบไม่ต้องทดลองกันเลย เพราะอย่างที่บอกว่าทาง Apple จะรองรับการทำงานใน IOS 8 ที่ยังไม่ออก ดังนั้นเครื่องเสียงน้องแจ๊สเราคงไม่ล้ำหน้ารุ่นใหญ่(ไอโฟน/ไอแพด)อย่างแน่นอนครับ
                 อีกความคาดหวังนอกจากเรื่องของการเอาภาพมือถือขึ้นหน้าจอก็คือ ในเมื่อน้องแจ๊สสามารถที่จะรับ IP ได้ นั่นย่อมหมายถึงว่าสามารถออกไปท่องโลกอินเตอร์เน็ตโดยผ่านหน้าจอเครื่องเสียงเราได้เลย แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงติดปัญหาเดียวคือตัว Firmware คงยังไม่ได้เปิดให้เราใช้ประโยชน์อะไรจากเจ้า Wi-Fi  ที่ติดตั้งมา นอกจากรับ IP ไว้ดูเล่นเท่านั้นเอง                  ความคาดหวังของผมนี่ไม่ได้เพ้อเจ้อนะครับ เพื่อไม่ให้เสียชื่อจ้าวแห่งคู่มือ ขออนุญาตอ้างอิงจากคู่มือหน้าที่ 209 ลองดูตรงที่ผมทำกรอบไว้นะครับ
                   จะเห็นว่ามีการระบุชัดเจนว่าให้เลือกแอปพลิเคชั่นที่ต้องการ นั่นย่อมหมายถึงว่าในที่สุดแล้วมันจะต้องมีแอปพลิเคชั่นให้เราเลือกใช้(อย่างน้อยๆก็ Browser เพื่อใช้ท่องโลกอินเตอร์เน็ตล่ะ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะรับ IP มาทำอะไร ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือรอๆๆฟังข่าวเผื่อว่าเค้าจะมีการอัพเฟิร์มแวร์ของเครื่องเสียงเราให้หลังจาก IOS 8 ออกมาแล้วครับ ยิ่งเขียนยิ่งงงดังนั้นขออนุญาตจบบทความแบบห้วนๆตรงนี้เลย ขอบคุณที่ทนอ่านกันมาจนจบนะครับ